ข่าว:

ห้ามโพสโฆษณา สินค้าที่ดูแล้วขัดต่อ ศีลธรรม ประเพณี หรือกฏหมายของไทย เด็ดขาด หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - mrtnews

#4591
มีการขุดค้นพบซากฟอสซิลของปลายักษ์อายุประมาณ 250 ล้านปีก่อนในพื้นที่ของรัฐเนวาดาปัจจุบัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเล นักวิทยาศาสตร์ระบุเขี้ยวแหลมดุจมีดยาว 5 นิ้ว และดุร้ายจนสามารถกินสัตว์ขนาดตัวเท่ากับมันได้อย่างสบาย


นิตยสารออนไลน์ Proceeding of the National Academy of Science เปิดเผยว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ขุดพบซากฟอสซิลความยาว 8.6 เมตร มีอายุอยู่บนโลกนี้เมื่อ 244 ล้านปีก่อน ในเทือกเขาหินห่างไหลของรัฐเนวาดาตอนกลาง สหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยเป็นมหาสมุทรสุดเวิ้งว้างมาก่อน เชื่อว่าเป็นสัตว์นักล่าระดับสูงสุดในระบบห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร

ทีมที่ขุดค้นให้ชื่อยักษ์น้ำเค็มโบราณนี้ว่า Thalattoarchon saurophagis ซึ่งแปลความหมายได้เป็น "ราชาแห่งท้องทะเลผู้กินสัตว์เลื้อยคลานเป็นอาหาร" เป็นผู้เกิดก่อน ichthyosaurs หรือกิ่งกาปลาอิกธิโอซอรัส ที่ร่วมยุคเดียวกับไดโนเสาร์ แหวกว่ายหากินในทะเลอยู่กว่า 160 ล้านปี

ในช่วงกลางของยุคไทรแอสซิก (ประมาณ 200-250 ล้านปีก่อน) ichthyosaurs ได้มีวิวัฒนาการจากสัตว์เลื้อยคลานบนดินกลับลงไปสู่ผืนน้ำอีกครั้ง ซึ่งมีวิวัฒนาการควบคู่ไปกับบรรพบุรุษของวาฬและโลมาในปัจจุบัน และได้ครองผืนน้ำในยุคจูราสสิก ก่อนที่จะถูกกวาดล้างโดยผู้ล่าที่ทรงพลังกว่าอย่าง plesiosaurus ในยุคครีเตเชียส (ประมาณ 65-145 ล้านปีก่อน)

ด้าน Thalattoarchon นั้น มีกะโหลกและกรามขนาดใหญ่โต ฟันแหลมคมเหมือนมีดยาวประมาณ 5 นิ้ว สามารถจับและรับประทานเหยื่อที่มีขนาดเท่ากับตัวมันเองได้ เปรียบเทียบได้กับวาฬเพชฌฆาตในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ก่อนหน้าการปรากฏตัวของ Thalattoarchon ราว 8 ล้านปี (ยุคเปอร์เมียน) ได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ประมาณ 80-96 เปอร์เซ็นต์ของสปีชีส์สัตว์ทะเล การเกิดมีขึ้นของสัตว์ผู้ล่าอย่าง Thalattoarchon ทำให้ระบบนิเวศฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็ว และมีวิวัฒนาการทางโครงสร้างนิเวศวิทยาขึ้นใหม่หลังการสูญพันธุ์ครั้งนั้น

ดร.นาเดีย ฟรอบิช จากพิพิธภัณฑ์ฮุมโบลดต์ ในกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี กล่าวว่า เธอได้เรียนรู้ความหลากหลายของระบบนิเวศในโลกของเรามากขึ้นทุกวัน ทั้งสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งระบบนิเวศของพวกมัน


"การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างระดับความเข้าใจใหม่ขึ้นในโครงสร้างของระบบนิเวศ การพบ Thalattoarchon ช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในวิวัฒนการของโลก และผลกระทบที่มนุษย์ได้รับในสภาวะแวดล้อมปัจจุบัน" ดร.ฟรอบิชกล่าว

เศษชิ้นส่วนของอดีตเจ้าทะเลชนิดนี้ยังอยู่ในสภาพดี ทั้งกะโหลก (ยกเว้นส่วนจมูก) ครีบ ลำกระดูกสันหลังทั้งหมดไปจนถึงปลายหาง

คณะผู้ศึกษาซากดึกดำบรรพ์ใช้เวลา 3 สัปดาห์ในการขุดซากดังกล่าวจนสำเร็จในปี 2553 จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายโดยเฮลิคอปเตอร์และรถบรรทุกไปทำการศึกษาจนสรุปออกมาดังที่ได้อ่านกัน

ดร.โอลิเวียร์ ริแอพเปล หนึ่งในคณะผู้ขุดค้นจากพิพิธภัณฑ์สนามชิคาโก กล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการศึกษาอดีตเพื่อที่จะสะท้อนอนาคต.

ที่มา -
#4592
วันนี้ (9 ม.ค.56)  พล.ร.ท.รุ่งศักดิ์ เสรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทัพเรือภาคที่ 1 ได้สังการให้ พล.ร.ต.ประดิษฐ์ ศิริคุปต์รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 สนธิกำลังร่วมกับ กองกำกับการ 5 กองกำกับการตำรวจน้ำ ศูนย์บริหารจัดการประมงทะเลอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก และศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 นำเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ออกจากชายฝั่ง ท่าเทียบเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ทำการออกลาดตระเวน ตรวจจับเรือประมงสัญชาติเวียดนาม หลังรับแจ้งมีการลับลอบเข้ามาทำประมงในฝั่งอ่าวไทย ด้านทิศตะวันออก


ต่อมา เรือหลวงรัตนโกสินทร์ ได้ออกทำการลาดตระเวนบริเวณ ตอนใต้เกาะจวง ระยะ 53 ไมล์ พบกลุ่มเรือประมงสัญชาติเวียดนาม ประมาณ 5 ลำ กำลังทอดสมอลอยลำทำประมง เมื่อเห็นเรือของทางการ ได้หนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง สามารถจับกุมได้เพียง 2 ลำพร้อมลูกเรือ รวม 21 คน จึงได้ควบคุมเรือ พร้อมลูกเรือทั้งหมด เข้าเทียบยังท่าเทียบเรือกลางอ่าว กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ ดำเนินคดีในข้อหา ทำการประมงรุกล้ำน่านน้ำไทยในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หนีเข้าราชอาณาจักไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และ พ.ร.บ.สิทธิทำการประมง

พล.ร.ต.ประดิษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีเรือประมงเวียดนาม ลุกล้ำเข้ามาทำประมงในอ่าวไทย พื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ สร้างผลกระทบให้กับประมงไทยอย่างมาก รวมถึงสถานะด้านความมั่นคงของชาติ ทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบ ในการปราบปรามจับกุมเรือประมงต่างชาติที่ลุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำไทย ได้ออกทำการลาดตระเวนพื้นที่กันอย่างเข้มงวด ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถจับกุมเรือประมงเวียดนามได้มากเกือบ 30 ลำ อันจะส่งผลให้เห็นว่า อ่าวไทยเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรใต้ท้องทะเลอย่างอุดมสมบูรณ์ จึงจำเป็นต้นรักษาไว้เพื่อเป็นผลประโยชน์ของชาติสืบไป

ที่มา -




จับเรือประมงเวียดนาม 2 ลำ ลูกเรือ 21 ชีวิต รุกล้ำทำประมงน่านน้ำไทย

วันนี้ (9 ม.ค.56) เวลา 09.30 น. พล.ร.ท.รุ่งศักดิ์ เสรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทัพเรือภาคที่ 1 ได้สังการให้ พล.ร.ต.ประดิษฐ์ ศิริคุปต์
รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 สนธิกำลังร่วมกับกองกำกับการ 5 กองกำกับการตำรวจน้ำ ศูนย์บริหารจัดการประมงทะเลอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก และศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 นำเรือหลวงรัตนโกสินทร์ออกลาดตระเวนตรวจจับเรือประมงสัญชาติเวียดนาม หลังรับแจ้งว่า มีการลับลอบเข้ามาทำประมงในฝั่งอ่าวไทยด้านทิศตะวันออก



ต่อมา ขณะเรือหลวงรัตนโกสินทร์ออกลาดตระเวนบริเวณตอนใต้เกาะจวง ระยะ 53 ไมล์ พบกลุ่มเรือประมงสัญชาติเวียดนาม ประมาณ 5 ลำ กำลังทอดสมอลอยลำทำประมง เมื่อเห็นเรือของทางการได้ขับเรือหนีไปคนละทิศละทาง จับกุมได้เพียง 2 ลำ คือ เรือหมายเลข CM 99362 TS ตัวเรือสีเขียวคาดฟ้า ยาว 8 วา ไต๋พร้อมลูกเรือรวม 10 คน และเรือหมายเลข CM 99689 TS ตัวเรือสีขาวคาดฟ้า ยาว 3 วา ไต๋พร้อมลูกเรือรวม 11 คน จึงควบคุมเรือ พร้อมลูกเรือทั้งหมดเข้าเทียบยังท่าเทียบเรือกลางอ่าว กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ ดำเนินคดีข้อหาทำการประมงรุกล้ำน่านน้ำไทยในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หนีเข้าราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และ พ.ร.บ.สิทธิทำการประมง

พล.ร.ต.ประดิษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีเรือประมงเวียดนามรุกล้ำเข้ามาทำประมงในอ่าวไทยพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ สร้างผลกระทบให้แก่ประมงไทยอย่างมาก รวมถึงสถานะด้านความมั่นคงของชาติ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบปราบปรามจับกุมเรือประมงต่างชาติ จึงออกลาดตระเวนอย่างเข้มงวด ซึ่งปีที่ผ่านมา สามารถจับกุมเรือประมงเวียดนามได้เกือบ 30 ลำ ชี้ให้เห็นว่า อ่าวไทยมีทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ต้องรักษาไว้เพื่อเป็นผลประโยชน์ของชาติสืบไป

ที่มา -
#4593
สศช.ปรับกรอบเงินลงทุนทวายเพิ่มอีก 1.5 แสนล้านบาท รวมโครงการโรงไฟฟ้าและการพัฒนานิคมฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฏร ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องความคืบหน้าและการดำเนินงานในการเตรียมความพร้อม โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศเมียนมาร์ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 หน่วยงาน เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สสค.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงพาณิชย์ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ บริษัท อิตาเลียนไทยดีเวลล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ "ITD" เป็นต้น

นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ รองเลขาธิการสศช.กล่าวว่าหลังจากที่โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายได้รับการยกระดับโครงการจากรัฐบาลไทยและเมียนมาร์ในปี 2554 ที่ผ่านมา และในการประชุมครั้งแรกที่ประเทศไทยได้มีการตั้งคณะทำงานระดับสูงเป็นกลไกร่วมกัน 3 ระดับ รวมทั้งได้มีประชุมร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศระหว่างคณะทำงานฯ 6 ชุดที่มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นประธาน ครั้งล่าสุดที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ จนถึงขณะนี้โครงการทวายได้มีควาคืบหน้าไปหลายส่วน เช่นการก่อสร้างถนนจากชายแดน จ.กาญจนบุรี ไปยังโครงการทวาย ระยะทาง 132 กิโลเมตร โดยเป็นถนนเข้าสู่โครงการที่รอจะพัฒนาเชื่อมต่อกับถนนมอเตอร์เวย์และเป็นเส้นทางหลักเข้าสู่โครงการทวายในระยะต่อไป ซึ่งโครงสร้างถนนและท่าเรือน้ำลึกระยะที่ 1 จะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558

ส่วนโครงการก่อสร้างพื้นฐานอื่นๆของโครงการทวาย เช่นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า การสร้างระบบรางเพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่ง การสร้างเขื่อนเพื่อเก็บกักน้ำจืด ระบบบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งระบบติดต่อสื่อสารและโทรคมนาคม ขณะนี้คณะทำงานฝ่ายไทยอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดทั้งรูปแบบ ความคุ้มค่าในการลงทุน รวมทั้งการคิดค่าตอบแทนในกรณีที่จะต้องลงทุนทางธุรกิจ เพื่อให้ได้ข้อมูลส่วนหนึ่งไปเสนอกับรัฐบาลเมียนมาร์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ของนักลงทุนเพื่อให้โครงการนี้มีความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเข้าไปลงทุนในอนาคต

ทั้งนี้สศช.ได้ปรับประมาณการลงทุนโครงการฯทวายจากเดิมที่ ITD ได้เคยจัดทำไว้เป็นวงเงินในการพัฒนาโครงการเป็นวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นวงเงินประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งวงเงินที่เพิ่มขึ้นเป็นวงเงินที่รวมการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมจำนวน1 หมื่นไร่ ไร่ละ 2 ล้านบาท รวมวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท และวงเงินในการพัฒนาโรงไฟฟ้าระยะที่ 1 ในโครงการได้แก่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรชาติขนาด 33 เมกะวัตต์และโรงไฟฟ้าพลังงงานความร้อนร่วมขนาด 180 เมกะวัตต์วงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท โดยวงเงินลงทุน 3.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นประมาณการลงทุนการลงทุนระยะที่ 1 ภายในปี 2558 วงเงิน 2.04 แสนล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในเมียนมาร์ 1.48 แสนล้านบาท และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมเชื่อมโยงจากประเทศไทยไปยังโครงการ 5.59 หมื่นล้านบาท การลงทุนระยะที่ 2 (2559 - 2563) 1.2 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนในเมียนมาร์ 1 แสนล้านบาท และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมเชื่อมโยงจากประเทศไทยไปยังโครงการ 2.03 หมื่นล้านบาท

ที่มา -




'อิตัลไทย'การันตี 'ทวายโปรเจกต์' เสร็จทันปี 58

"อิตัลไทย" การันตี "ทวายโปรเจกต์" เสร็จทันตามแผนในปี 58 ทั้งการสร้างถนนเชื่อมและท่าเรือน้ำลึก แม้ได้รับผลกระทบจากขึ้นค่าแรง 300 เชื่อการปรับแผน Framework Agreement ของพม่า จะไม่กระทบการทำงาน...


เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2556 นายสุเมธ สุรบถโสภณ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเดินหน้าโครงการทวายโปรเจกต์ในส่วนที่บริษัท อิตาเลียนไทยฯ รับผิดชอบ เช่น การก่อสร้าง Roadlink ระยะทาง 160 กิโลเมตร และท่าเรือน้ำลึกทวาย จะแล้วเสร็จตามแผนในปี 2558 อย่างแน่นอน แม้จะเกิดความไม่ชัดเจนในกรณีที่รัฐบาลพม่าต้องการจะปรับ Framework Agreement ประกอบกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท ซึ่งทางอิตาเลียนไทยได้เตรียมเพิ่มจำนวนคนงานและเครื่องจักรลงพื้นที่ เพื่อเร่งดำเนินการให้เสร็จทันตามแผน ซึ่งขณะนี้ท่าเรือเล็ก และ Access road เข้าโครงการดำเนินการแล้วเสร็จ และพร้อมที่จะลงมือก่อสร้างท่าเรือหลักได้ภายในปีนี้

ในวันเดียวกัน พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาจ้าง โครงการปรับปรุงทางขึ้น-ลง ทางพิเศษเฉลิมมหานคร กับถนนทางรถไฟสายเก่า บริเวณทางแยกต่างระดับอาจณรงค์ ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ วงเงินก่อสร้างกว่า 131 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 450 วัน คาดว่า จะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการในเดือน เม.ย.2557 สำหรับการปรับปรุงทางขึ้น-ลง ดังกล่าว เป็น 1 ใน 10 จุดที่ กทพ. จะต้องสร้างใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้ใช้ทางด่วน และแก้ปัญหาการจราจรแออัดบนทางด่วน

ด้านนายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กทพ. จะทยอยติดตั้งระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (อีซี่พาส) เพิ่มอีก 100 เคาน์เตอร์ โดยใช้งบประมาณเคาน์เตอร์ละ 2 ล้านบาท ซึ่งการติดตั้งดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ ส่วนจะติดตั้งจุดใดบ้าง จะมีการพิจารณาตามความเหมาะสมอีกครั้ง

ที่มา -
#4594
เมื่อเวลาประมาณ 14.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของวันที่ 8 มกราคม 2556 เกิดอุบัติเหตุขณะที่เรือโดยสารเฟอร์รี่ (Passenger Ferry) ชื่อ Vesteralen ความยาว 108 เมตร ขนาด  900 dwt ได้แล่นเรือด้วยความเร็วสูงเข้าชนสะพานเดินขนถ่ายผู้โดยสารลงเรือที่ติดอยู่กับตัวอาคารผู้โดยสารของท่าเทียบเรือโดยสารในเมืองแบร์เกน (Bergen) ประเทศนอร์เวย์


เรือเฟอร์รี่ Vesteralen แล่นด้วยความเร็วสูงเข้าชนสะพานเดินข้ามของผู้โดยสาร (passenger glass fly bridge) ที่ติดตั้งอยู่กับอาคารผู้โดยสารในท่าเทียบเรือเมืองแบร์เกนได้รับเสียหายพังยับ ล่วงลงมาอยู่ทีพื้นเบื้องล่างทั้งสะพาน ส่วนเรือเฟอร์รี่ได้รับความเสียหายบริเวณหัวเรือเป็นรอยแผลยาวประมาณ 1 เมตร และมีน้ำมันไฮดรอลิกถูกปล่อยรั่วไหลลงไปในทะเลประมาณ 3,000 ลิตร  สันนิษฐานสาเหตุการชนเกิดจากเรือใช้ความเร็วค่อนข้างสูงในขณะที่เข้าเทียบท่า จนไม่สามารถชะลอความเร็วและหยุดเรือได้ทัน มีหมอกลงหนาทึบในช่วงเวลาของการเกิดอุบัติเหตุด้วย


ไม่มีรายงานของการบาดเจ็บของผู้โดยสารจำนวน 84 คนและลูกเรือจำนวน 41 คนที่อยู่บนเรือขณะเกิดเหตุ หน่วยดับเพลิงท้องถิ่นนำบูมกันคราบน้ำมัน (containment booms) ลงวางล้อมตัวเรือเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของคราบน้ำมันแล้ว


เรือโดยสารเฟอร์รี่ (Passenger Ferry) ชื่อ  Vesteralen รหัสหมายเลข IMO คือ 8019368 ขนาด 6261 grt สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1983 จดทะเบียนชักธง  Norway


ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4595
ประเทศไทยได้รับความสนใจจากประชาคมออนไลน์อีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์นี้ เมื่อมีการถกเถียงผ่านเว็บไซต์ข่าวกลาโหมหลายแห่งเกี่ยวกับกฎหมายฉบับหนึ่งที่ค้างอยู่ในรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการมอบเรือรบเก่าให้แก่มิตรประเทศ 3 ชาติ รวมทั้ง 2 ลำสำหรับไทยด้วย ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ราชนาวีและรัฐบาลไทยอาจจะตัดสินใจรับเรือทั้งสองลำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เรือที่สหรัฐฯ เสนอให้แก่ไทยตั้งแต่ปีที่แล้ว คือเรือเร็นท์ (FFG-46 USS Rentz) กับเรือแวนเดกริฟท์ (FFG 48 USS Vandegrift) ซึ่งเป็นเรือฟรีเกตชั้นโอลิเวอร์ฮาซาร์ดเพอร์รี (Oliver Hazard Perry -Class) ที่ประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ ปัจจุบัน แต่ราชนาวีไทยยังไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ยังไม่มีข่าวสารอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจออกมาผ่านสื่อต่างๆ

เรื่องนี้กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อเว็บไซต์ข่าวกลาโหมหลายแห่งรายงานในวันอังคาร 7 ม.ค.นี้ เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่นำร่างรัฐบัญญัติเรื่องนี้เข้าพิจารณาอีกครั้ง หลังจากปล่อยค้างมาข้ามปีท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากกระทรวงกลาโหมที่ขอให้ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้โดยเร็ว โดยชี้ให้เห็นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ที่สูญเสียไปปีละนับร้อยล้านดอลลาร์จากความล่าช้า

ตามรายงานล่าสุดซึ่งอ้างนิตยสารเนวีไทมส์ (Navy Times) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างรัฐบัญญัติฉบับนี้ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.ปีที่แล้ว และนำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณา แต่วุฒิฯ คัดค้านเนื่องจากในร่างกฎหมายมีการเสนอให้เรือ 2 ลำแก่ประเทศตุรกี ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิสราเอลด้วย

ตามแผนการดังกล่าว สหรัฐฯ เสนอเรือฟรีเกตให้แก่พันธมิตร 3 ประเทศแบบ "ฟรีๆ" แต่ผู้รับจะต้องจ่ายเป็นค่าซ่อมแซม และอัปเกรดเรือตั้งแต่ 40-80 ล้านดอลลาร์ต่อลำ

ในแพกเกจเดียวกันนี้สหรัฐฯ เสนอ "มอบ" เรือชั้นโอลิเวอร์-ฮาซาร์ดฯ แก่เม็กซิโก 2 ลำ คือ เรือเคิร์ต (FFG 38 Kerts) กับเรือแม็คคลัสคีย์ (FFG 41 McKluskey) ให้ตุรกีคือเรือฮาลีเบอร์ตัน (FFG 43 Halyburton) กับเรือเท็ค (FFG 43 TECH)

ผู้แทนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้อธิบายให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของวุฒิสภาทราบว่า ถึงแม้ตุรกีจะเป็นประเทศมุสลิม แต่เป็นพันธมิตรนาโต้ของสหรัฐฯ มานาน และมิใช่ครั้งแรกที่ตุรกีได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในสหรัฐฯ ปัจจุบัน ทัพเรือตุรกียังมีฟริเกตชั้นเพอร์รีประจำการอยู่ด้วย

ยังไม่ทราบชะตากรรมของร่างรัฐบัญญัติฉบับดังกล่าว แต่วุฒิสภามีกำหนดนำเข้าพิจารณาใหม่ทั้งหมดในวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา เนวีไทม์สกล่าว

กองทัพเรือสหรัฐฯ ทยอยปลดประจำการเรือฟรีเกตชั้นนี้มาตั้งแต่ปี 2538 และมีกำหนดจะให้แล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2558 รวมทั้งสิ้น 51 ลำ ที่นำเข้าประจำการในช่วงปี 2522-2532 เรือนำของชั้นคือ FFG 7 Oliver-Hazard Perry ปลดตั้งแต่ปี 2540 หลังใช้งานมา 20 ปี

ตามข้อมูลของกองทัพเรือสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2555 ที่ผ่านมา ยังมีเรือชั้นโอลิเวอร์-ฮาซาร์ดฯ ประจำการอยู่ไม่ถึง 20 ลำ ลำ รวมทั้ง 6 ลำที่เสนอ "มอบ" ให้เม็กซิโก ตุรกี กับไทยด้วย ส่วนลำอื่นๆ ที่เหลือมีอยู่อย่างน้อย 6 ลำ ที่จะทยอยปลดระหว่างเดือน ก.พ.-ส.ค.ปีนี้


ที่ผ่านมา มีอย่างน้อย 10 ลำที่ปลดประจำการ และถูกนำไปตัดขายเป็นเศษเหล็ก หรือทำลายโดยฝ่ายความมั่นคง อีกจำนวนหนึ่งรอเวลานำไปทำลาย ที่เหลือ "มอบ" หรือ "ขาย" ให้พันธมิตรในตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และยุโรปตะวันออก ผู้แทนกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกกับวุฒิสภาว่า การปลดประจำการเรือชั้นเพอร์รี มีค่าใช้จ่ายลำละ 1 ล้านดอลลาร์ และหากยังเก็บไว้ก็จะมีค่าดูแลรักษาต่างๆ ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ต่อปีต่อลำ

สำหรับยูเอสเอสเรนท์ กับยูเอสเอสแวนเดกริฟท์ เข้าประจำการพร้อมกันในปี 2527 ซึ่งครบกำหนดใช้งาน 20 ปีในปี 2557

หลายปีมานี้ ทั้งยูเอสเอสเร็นท์ และยูเอสเอสแวนเดกริฟท์ ต่างได้รับมอบภารกิจให้ประจำกองทัพเรือที่ 5 และกองทัพเรือที่ 7 จึงเป็นที่คุ้นเคยในภูมิภาคนี้ แต่เรือแวนเดกริฟท์เป็นที่รู้จักมักคุ้นดีกว่าสำหรับไทย เนื่องจากเคยแวะเยือนเกาะภูเก็ตมาหลายครั้ง และร่วมฝึกซ้อมรบกับพันธมิตรในย่านนี้ในหลายโอกาส

เรือแวนเดกริฟท์ยังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม โดยไปเยือนนครโฮจิมินห์ในเดือน พ.ย.2526 กลายเป็นเรือรบสหรัฐฯ ลำแรกที่กลับไปเวียดนาม ตั้งแต่สงครามยุติลงในปี 2518

เรือชั้นเพอร์รียังคงเป็นเรือรบทันสมัย หลายลำผ่านการศึกษาอย่างโชกโชนมาในช่วงปลายยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย และเกือบทั้งหมดได้ทำหน้าที่ติดตามกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีของสหรัฐฯ ไปในทุกน่านน้ำทั่วโลก

และแม้ว่าจะสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ในการคุ้มครองเรือรบลำอื่นๆ กับภารกิจปราบเรือดำน้ำเป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้งานได้หลากหลาย ติดอาวุธนำวิถี และอาวุธอื่นๆ อีกรอบตัว ล้วนเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในเรือรบอีกหลายลำของราชนาวีไทย รวมทั้งจรวดฮาร์พูนด้วย

ถึงแม้จะเก่า แต่เรือรบชั้นนี้ยังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ รวมทั้งกองทัพเรือไต้หวันที่ขอซื้อจากสหรัฐฯ จำนวน 4 ลำ และปลายปีที่แล้วนายทหารระดับสูงแห่งกองทัพเรือคนหนึ่งกล่าวว่า มาเลเซียมีความประสงค์จะขอซื้อเรือรบชั้นนี้จากสหรัฐฯ จำนวน 4 ลำ แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าใดๆ อีก


กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างพัฒนานำกองทัพเรือเข้าสู่ยุคใหม่ โดยนำเรือรบยุคใหม่เข้าประจำการ รวมทั้งเริ่มนำเรือโจมตีชายฝั่ง หรือ Littoral Combat Ship เข้าใช้งานในช่วงปี 2 ปีมานี้ เช่นเดียวกับเครื่องบินของกองทัพเรือที่จะเปลี่ยนไปใช้ F-35 และกำลังพัฒนายานบินแบบไร้คนบังคับเพื่อใช้ทั้งในภารกิจลาดตระเวน และโจมตี

ขณะเดียวกัน ก็กำลังพัฒนา "เรือไร้คนบังคับ" เพื่อใช้ในภารกิจออกล่า-ตรวจหาเรือดำน้ำข้าศึกที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเรือฟรีเกตที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย.

ที่มา -

#4596
อิสตันบูล 8 ม.ค. 56 - ทางการตุรกีต้องปิดการเดินเรือในช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องทางเดินเรือสำคัญ เนื่องจากพายุหิมะทำให้ทัศนวิสัยลดลงมาก ขณะที่สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ ต้องยกเลิกเที่ยวบินตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันพุธ


บริษัทตัวแทนเรือจีเอซี แจ้งว่า การเดินเรือมุ่งหน้าขึ้นเหนือและล่องใต้ผ่านช่องแคบบอสฟอรัสถูกระงับทั้งหมด ตั้งแต่เวลา 11.45 น. วันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 16.45 น. วันนี้ ตามเวลาในไทย เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี นับเป็นวันที่ 2 แล้วที่มีการปิดเป็นระยะๆ ส่วนช่องแคบดาร์ดะเนลส์ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลมาร์มะรา ยังคงเปิดเดินเรือตามปกติ รัสเซียและประเทศริมทะเลดำต้องอาศัยช่องแคบ 2 แห่งนี้เป็นเส้นทางทางทะเลในการลำเลียงน้ำมัน ธัญพืช และสินค้าโภคภัณฑ์


สื่อต่างประเทศรายงาน ทางการตุรกีต้องปิดการเดินเรือในช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องทางเดินเรือสำคัญ เนื่องจากพายุหิมะทำให้ทัศนวิสัยลดลงมาก ขณะที่สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ ต้องยกเลิกเที่ยวบินตั้งแต่วันที่ 7-9 ม.ค.บริษัทตัวแทนเรือจีเอซี แจ้งว่า การเดินเรือมุ่งหน้าขึ้นเหนือและล่องใต้ผ่านช่องแคบบอสฟอรัสถูกระงับทั้งหมด ตั้งแต่เวลา 11.45 น. เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่น เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี นับเป็นวันที่ 2 แล้วที่มีการปิดเป็นระยะๆ ส่วนช่องแคบดาร์ดะเนลส์ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลมาร์มะรา ยังคงเปิดเดินเรือตามปกติ รัสเซียและประเทศริมทะเลดำต้องอาศัยช่องแคบ 2 แห่งนี้เป็นเส้นทางทางทะเลในการลำเลียงน้ำมัน ธัญพืช และสินค้าโภคภัณฑ์ด้านเว็บไซต์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ แจ้งว่า พายุหิมะทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 76 เที่ยว หลังจากเมื่อวันจันทร์ยกเลิกไปแล้วกว่า 10 เที่ยว

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4597
ใกล้ถึง "วันเด็ก" ครั้งใด อดให้คิดถึงสมัยยังเล็กไม่ได้ ต้องขออนุญาตคุณพ่อ คุณแม่ ไปดูรถถัง เครื่องบิน ที่กองทัพนำมาจอดโชว์ให้เด็ก ๆ ได้ขึ้นไปนั่ง ไปสัมผัส และหากถามเด็กผู้ชาย ส่วนใหญ่แล้วต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "โตขึ้นอยากเป็นทหาร" ซึ่ง "วันเด็ก" ของทุกปี ทำให้มีเด็กจำนวนมากไปชมแสนยานุภาพ และยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทย


สำหรับ กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ โดย พล.ร.อ.ฆนัท ทองพูล ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ได้สั่งการให้จัดเตรียม "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" เพื่อต้อนรับเยาวชนจากทั่วประเทศ ที่เดินทางมาเยี่ยมชม และร่วมกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ณ ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อีกทั้งจะต้องพาผู้ปกครอง เยาวชน จำนวนกว่า 1,000 คน ออกไปชมทัศนียภาพ ภูมิประเทศอ่าวสัตหีบในวันที่ 11 มกราคม 2556 ก่อนวันเด็ก 1 วัน เพราะในวันเด็ก 12 มกราคม 2556 จะต้องนำเรือเข้าเทียบท่าเพื่อให้เยาวชนขึ้นเยี่ยมชมเช่นเคยเหมือนทุก ๆ ปี

โดยงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ของกองทัพเรือ ได้จัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เรือหลวงจักรีนฤเบศร"

ซึ่งเปรียบเสมือนทูตสันถวไมตรีของกองทัพเรือ ซึ่งในแต่ละปีจะมีเด็กและเยาวชนจำนวนมากจากทั่วประเทศ เดินทางเข้าชมความสง่างามของ "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" จึงได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อาทิ ความสะอาดภายในเรือ สถานที่จัดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันเด็กปี 2556 นี้ กองทัพเรือโดย พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบให้เป็นของขวัญพิเศษแก่เด็กและเยาวชนที่มาเที่ยวชม "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ในครั้งนี้ ด้วยการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้ขึ้นบน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ล่องเรือชมทัศนียภาพอ่าวสัตหีบ ชมการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนแสนยานุภาพด้านการบินผาดแผลงทางอากาศยาน และแสนยานุภาพทางทะเลของกองทัพเรือ ในวันที่ 12 มกราคม 2556

น.อ.อนิรุธ สวัสดี ผู้บังคับการเรือหลวงจักรีนฤเบศร กล่าวว่า "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้จัดเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เด็กและเยาวชนตลอดจนผู้ปกครองได้ชมแสนยานุภาพของ "เรือหลวงจักรีนฤเบศร"

พร้อมกับเชิญชวนเข้าร่วมการจัดกิจกรรมทางทหารในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 นอกจากในพื้นที่บริเวณท่าเทียบเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แล้วยังได้จัดให้มีกิจกรรมการแสดงทางทหารในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อ.สัตหีบ และที่กองการบินทหารเรือ สนามบินอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ซึ่งประกอบด้วย การแสดงแสนยานุภาพทางทหาร การแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพเรือ การแสดงการโดดร่มแบบดิ่งพสุธา การแสดงดนตรี แจกของขวัญ อาหารเครื่องดื่ม ให้กับผู้ที่เข้าร่วมชมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศจำนวนมากทยอยเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

"เรือหลวงจักรีนฤเบศร" เป็นเรือธงและเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกและลำเดียวของราชนาวีไทย ประจำการในส่วนกำลังรบของกองทัพเรือ เป็นเรือที่ต่อขึ้นจากประเทศสเปน โดยนำแบบมาจากเรือ ปรินซีเปเดอัสตูเรียส ของกองทัพเรือสเปน โดยปรับปรุงระบบขับเคลื่อน ระบบควบคุมการบิน ระบบอาวุธ และลดระวางขับน้ำลงเหลือสองในสาม ขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 ได้ใช้งานปฏิบัติภารกิจด้านยุทธการและช่วยเหลือภัยพิบัติตลอดน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งภารกิจในอดีตในการช่วยเหลือประชาชน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้ช่วยเหลือประชาชนในเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนี้

พายุไต้ฝุ่นซีตาห์ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นซีตาห์ที่จังหวัดชุมพร เรือหลวงจักรีนฤเบศร ได้ไปยังพื้นที่ประสบภัย และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ตามตำบลต่าง ๆ เนื่องจากระดับน้ำท่วมสูงจนการช่วยเหลือทางบกไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้ การดำเนินการเบื้องต้น คือ การใช้เฮลิคอปเตอร์จากเรือนำอาหารที่ประกอบเรียบร้อยแล้วรวมทั้งน้ำดื่มไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ติดอยู่ตามตำบลต่าง ๆ เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น

พายุไต้ฝุ่นลินดาในวันที่ 4-7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้ออกเรือเพื่อให้การช่วยเหลือเรือประมงในทะเล ที่ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นลินดาโดยลาดตระเวนจากสัตหีบไปยังเกาะกูด จ.ตราด จนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์


นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ครั้งสำคัญ "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2547 ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ โดยกองเรือยุทธการ จัดตั้งหมู่เรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล โดยมีกำลังพลรวมทั้งสิ้น 760 นาย ซึ่งประกอบด้วย "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" และ "เรือหลวงนเรศวร" รวมทั้งชุดแพทย์เคลื่อนที่ โดยมีภารกิจหลักคือ ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้การรักษาพยาบาล บริเวณเกาะต่าง ๆ รวมถึงพื้นที่ทะเลด้านใต้ของเกาะภูเก็ต พร้อมกับเก็บกู้ศพ ลำเลียงศพจากเกาะพีพีดอน นอกจากนั้นยังให้การสนับสนุน และรับการตรวจเยี่ยมจากนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ และกองทัพเรือ

"เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญในยามสงบและยามสงคราม ซึ่งในยามสงบให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ, ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล, ปฏิบัติการอพยพประชาชน, ปฏิบัติการควบคุมและรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเลและบริเวณชายฝั่ง, คุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทะเล ส่วนในยามสงคราม ทำหน้าที่เป็นเรือธง ควบคุม บังคับบัญชากองเรือในทะเล ควบคุมการปฏิบัติการป้องกันภัยทางอากาศให้กับกองเรือ ควบคุมการปฏิบัติการป้องกันภัยผิวน้ำให้กับกองเรือ ควบคุมการปฏิบัติการปราบเรือดำน้ำให้กับกองเรือ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในวันเด็กแห่งชาติ 2556 เด็ก ๆ คงเฝ้ารอที่จะมาเยือน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ซึ่งเป็นอีกความฝันหนึ่งของเด็กผู้ชายหลาย ๆ คนที่อยากจะเป็นทหาร และคงจะยึดคำขวัญวันเด็กในปีนี้ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่นคือ "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน".

ณัฐภูมินทร์ ปานรักษ์

ที่มา -
#4598
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า ขณะนี้ สนพ.อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดโครงการ Energy Bridge ซึ่งจะลงทุนเชื่อมโยงระหว่างชายฝั่งทะเลตะวันตก(ทะเลอันดามัน) กับชายฝั่งทะเลตะวันออก(อ่าวไทย) โดยจะลงทุนทำเฉพาะท่อน้ำมัน และมีคลังน้ำมันที่หัว-ท้ายท่อส่งน้ำมัน ซึ่งท่อส่งน้ำมันจะมีเรือขนถ่ายสินค้าทางทะเล และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก


ทั้งนี้ Energy Bridge จะสร้างผลพลอยได้ในเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน เนื่องจากต้องมีการสร้างคลังทั้ง 2 ฝั่ง คือฝั่งทะเลอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจะสอดคล้องกับการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน

สำหรับสถานที่ตั้งในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแต่ใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว โดยมี 3 ทางเลือก คือ ทางเลือกแรก ที่ปากบารา-ขนอม ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีถนน 4 เลน ที่เกือบจะเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน โดยเหลืออีกเพียง 60 กิโลเมตร ก็จะเชื่อมได้ทั้งหมด

ทางเลือกที่สอง คือ โครงการที่ศึกษาแลนด์บริดจ์เดิม จากฝั่งทับละมุ จ.พังงา ไป จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งทางเลือกนี้มีผลการศึกษาไว้แล้ว

ทางเลือกที่สาม คือ นิคมอุตสาหกรรมทวาย ในประเทศเมียนมาร์ ที่ผ่าน จ.กาญจนบุรี ซึ่งหากโครงการนี้เกิดขึ้นจะมีการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อเชื่อมฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของกรุงเทพ และระหว่างมอเตอร์เวย์ก็สามารถวางท่อส่งน้ำมันได้ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ให้ครบทุกมิติ คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนม.ค.นี้จากนั้นจะนำเสนอให้ รมว.พลังงานพิจารณาต่อไป

นายสุเทพ กล่าวว่า สาเหตุที่ สนพ.ต้องศึกษาเรื่องดังกล่าว เพราะต้องเร่งสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ เนื่องจากในระยะยาวช่องแคบมะละกาจะขนส่งสินค้าได้เต็มความสามารถ ซึ่งสามารถรองรับเรือที่มาจากฝั่งแปซิฟิคได้สูงสุด 17 ล้านบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันมีการขนส่งอยู่ประมาณ 12-13 ล้านบาร์เรล/วัน จึงต้องหาเส้นทางอื่นเพิ่มเติมในการขนส่ง ประจวบเหมาะกับไทยอยู่ในยุทธ์ศาสตร์ที่ดี และได้มีการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์แล้วเพื่อขนส่งสินค้าจากฝั่งทะเลอันดามันมาฝั่งทะเลแปซิฟิคสำหรับรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิค คือ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มากในอนาคต

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการแบ่งส่วนมาจากโครงการแลนบริดจ์ หรือสะพานเศรษฐกิจของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเดิมเป็นโครงการนี้จะดำเนินการครบวงจรทั้งท่าเรือน้ำลึก, ถนน, ทางรถไฟ, ท่อส่งน้ำมัน และท่อส่งก๊าซธรรมชาติ

ที่มา -
#4599
นับเป็นอภิมหาโปรเจกท์ความร่วมมือระหว่างไทยกับพม่า "โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย" ซึ่งคาดการณ์กันว่าหากโครงการนี้สำเร็จเสร็จสิ้น จะเป็นประตูเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งใหม่ของโลกตะวันตกและตะวันออก เพราะนับเป็นศูนย์กลางระบบโลจิสติกส์


และการค้าขนาดใหญ่ของภูมิภาค เชื่อมโยงการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศในแถบทะเลจีนใต้ ผ่านทะเลอันดามันสู่มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเส้นทางที่ส่งสินค้าทั้งไปและกลับทางน้ำ ผ่านไปสู่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ทวีปยุโรป และทวีปแอฟริกา ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาในการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยพัฒนาการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เจริญเติบโตในระยะยาวต่อไป

สำหรับไทยท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นประตูเศรษฐกิจบานใหม่ ที่เชื่อมระหว่างท่าเรือน้ำลึกทวายกับท่าเรือแหลมฉบัง ตามยุทธศาสตร์การค้าการลงทุน เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านของรัฐบาล ดังนั้นสินค้าต่าง ๆ ที่ไม่ว่าจะมาจากยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ย่อมจะผ่านท่าเรือน้ำลึกทวายออกสู่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 วันเท่านั้น และสามารถส่งผ่านไปยังประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือประเทศในแถบแปซิฟิกได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

"ดร.พงษ์ธนา วณิชย์กอบจินดา" อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า ได้ให้แง่มุมรวมไปถึงการปรับตัว เพื่อเข้าไปฉกฉวยโอกาสและใช้ประโยชน์จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และการเปิดท่าเรือน้ำลึกทวายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า ท่าเรือน้ำลึกทวายคือโอกาสของการค้าการลงทุน และการส่งออกของภูมิภาค เพราะในอดีตที่ผ่านมาการขนส่งกระจายสินค้าจะต้องผ่านท่าเรือสิงคโปร์ อ้อมแหลมมะละกา ซึ่งใช้เวลา 16-18 วัน หากท่าเรือน้ำลึกทวายแล้วเสร็จจะช่วยร่นการขนส่งได้อย่างดีเยี่ยม

สิ่งที่สำคัญคือ ท่าเรือน้ำลึกทวายยังอยู่เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ตามกรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ (อิโคมิค คอร์ริดอร์) และยังมีจุดเชื่อมโยงต่าง ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นแนวตะวันออก-ตะวันตก (อีท-เวสท์ อิโคโนมิค คอร์ริดอร์ ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม-เมืองเมาะละแหม่ง พม่า) และทางตอนใต้ (เซาท์ อิโคโนมิค คอร์ริดอร์ ระหว่างนครโฮจิมินห์ เวียดนาม-เมืองทวาย พม่า) รวมทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับเส้นทางตอนเหนือ-ใต้ (นอร์ท-เซาท์ อิโคโนมิค คอร์ริดอร์ ระหว่างนครคุนหมิง จีนตอนใต้-กรุงเทพฯ) ด้วย

ส่วนเส้นทางต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะยิ่งเป็นตัวผลักดันให้ไทยยิ่งโดดเด่น โดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิต และเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงการกระจายสินค้าในภูมิภาค เพราะสินค้าจะเกิดการเปลี่ยนถ่ายในไทย รวมทั้งการค้า การลงทุนและการผลิตตามแนวตะเข็บชายแดนจะเป็นยุทธศาสตร์หลักที่จะเกิดขึ้นหลังเออีซี ประกอบกับจุดแข็งที่สำคัญของไทยที่น่าสนใจ คือ ความรู้ความสามารถของคนไทยได้เปรียบทั้งลาวและกัมพูชา พม่า แล้วจริงๆความรู้เราก็ไม่เป็นรองสิงค์โปร์เช่นเดียวกัน แต่ไทยจะต้องพัฒนาให้ถูกทางเท่านั้นเอง

สำหรับไทยต้องเร่งพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะการเปลี่ยนความคิดเลิกใช้คำว่า "เป็นประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ" เราจะต้องผันตัวเองเร่งพัฒนาสินค้าขายสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเน้นการแข่งขันในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าเพิ่ม เน้นสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า เพราะถ้าเราเล่นในเรื่องของต้นทุนต่ำ ไทยคงสู้ลาว กัมพูชา รวมถึงพม่าไม่ได้อย่างแน่นอน


"สิ่งสำคัญคือการเปิดเออีซีอย่ามองที่ผลเสีย ต้องมองว่าเราจะได้ประโยชน์อะไร ผลเสียมันคือจุดอ่อนมากกว่า นักลงทุนต่าง ๆ รวมถึงภาครัฐควรร่วมมือกันปิดช่องโหว่ของจุดอ่อนต่าง ๆ และมาร่วมกันสร้างจุดแข็ง ช่วยกันฉกฉวยโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะเอสเอ็มอีขนาดกลางที่พร้อม แต่ขาดเงินทุนภาครัฐจะต้องเร่งเข้าไปสนับสนุนให้ได้มากที่สุด ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กจะต้องสร้างความพร้อม การปรับตัวต้องมีทิศทางที่ชัดเจนว่าจุดขายคืออะไร การดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้มีภาคธุรกิจรายเล็กจำนวนมาก ที่หาทิศทางไม่เจอทำให้เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก"

สิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นโอกาสดีที่รอการพิสูจน์ เพราะขณะนี้โครงการเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต้องอาศัยระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะแล้วเสร็จ และมองเห็นภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม ประกอบกับอุปสรรค และความไม่ชัดเจนของผู้ประกอบการ นักลงทุนต่าง ๆ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ไทยอาจไม่ได้เป็นศูนย์กลางอย่างสมบูรณ์แบบ ประกอบกับพม่าที่เพิ่งเริ่มเปิดประเทศ ยังมีสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญกว่าและต้องเร่งพัฒนา ทำให้โครงการนี้กว่าจะสำเร็จได้คงต้องตามลุ้นกันอีกหลายอึดใจ.

ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน

ที่มา -
#4600
ทีมกู้ภัยพร้อมเรือลากจูง towing vessel ชื่อ Aiviq ได้เริ่มต้นปฎิบัติการกู้แท่นขุดเจาะน้ำมันของเชลล์ที่ชื่อ Kulluk  ที่ติดเกยตื้นออกจากโขดหิน บริเวณใกล้เกาะอลาสกา (Alaska island) แล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 ม.ค. 56) ซึ่งสภาพอากาศในทะเลเริ่มสงบลงบ้างแล้ว หลังจากที่ที่มีหิมะและพายุลมแรงพัดกระหน่ำด้วยความเร็วระหว่าง 15 ถึง 30 ไมล์ต่อชั่วโมงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา


โฆษกของบริษัทรอยัลดัตช์เชลล์ (Royal Dutch Shell) กล่าวว่าเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2013 เวลาประมาณ 22.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น แท่นขุดเจ้าน้ำมัน Kulluk ได้รับการกู้ให้หลุดจากการติดเกยตื้นเป็นผลสำเร็จ และสามารถเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งชายฝั่งของเกาะ Sitkalidak ได้แล้ว ขณะนี้แท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk ได้ถูกลากจูงโดยเรือลากจูงชื่อ Aiviq และได้เริ่มส่งคนลงไปยังแท่นขุดเจาะเพื่อประเมินความเสียหายของแท่นขุดเจาะแล้วด้วย

มีเรือทักลากจูง 3 ลำลอยลำอยู่ใกล้ๆ คอยเตรียมพร้อมเข้าทำการช่วยเหลือ พร้อมกับเรือของหน่วยยามฝั่งชื่อ "อเล็กซ์เฮลีย์" (Alex Haley) และเรือขจัดคราบน้ำมัน (oil spill response vessels) อีก 2 ลำ

ต่อมาอีกประมาณ 12 ชั่วโมง พบว่าเรือลากจูง  Aiviq และแท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk ได้เดินทางไปได้เป็นระยะทางประมาณ 45 ไมล์ทะเลนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการลากจูง ด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 3.5 นอตหรือ 4 ไมล์ต่อชั่วโมง ลูกเรือของเรือขจัดน้ำมัน "Nanuq" ได้ใช้อุปกรณ์กล้องอินฟราเรดบนเรือตรวจสอบและรายงานว่าไม่พบร่องรอยของการปล่อยน้ำมันรั่วลงทะเลแต่อย่างใด แท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk ยังคงถูกลากจูงต่อเพื่อไปยังอ่าว Kiliuda Bay ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของอ่าวโอเชียนเบย์ (Ocean Bay) ประมาณ 30 ไมล์ทะเล


เรือยามฝั่ง "อเล็กซ์เฮลีย์" แล่นตามเพื่อคอยดูแลขบวนลากจูงทั้งหมดเพื่อพาไปยังอ่าว Kiliuda Bay พร้อมกับเรือขจัดคราบน้ำมัน 2 ลำเพื่อคอยตอบสนองและการสนับสนุนอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดตามอยู่ห่างๆ ประมาณ 500 หลา อันเป็นเขตปลอดภัย (safety zone) รอบ ๆ แท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk คาดว่าจะเดินทางถึงประมาณวันที่ 8 มกราคม 2556

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย


#4601
เอ็กซ์ซอนโมบิล คอร์ป เล็งลงทุน 14 พันล้านดอลลาร์ ขุดน้ำมันในประเทศแคนาดา


เอ็กซ์ซอนโมบิล คอร์ป จะลงทุน 14 พันล้านดอลลาร์ ผลักดันเขตขุดเจาะน้ำมันฮิบรอนในน่านน้ำทิศตะวันออกของจังหวัดนิวฟาวนด์แลนด์และลาบราดอร์ของประเทศแคนนาดา โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถผลิตมันน้ำได้ถึง 700 ล้านบาร์เรล

การประกาศของเอ็กซ์ซอน คือ กระจกสะท้อนว่า ปัจจุบันผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่กำลังพุ่งเป้าความสนใจมายังทวีปอเมริกาเหนือ หลังจากค้นหาน้ำมันในตะวันออกกลาง แอฟริกาและทวีปอื่นๆ มาหลายปี โดยเทคโนโลยีขุดเจาะใหม่อนุญาตให้เอ็กซ์ซอนโมบิล โคโนโคฟิล์ลิปส์และบริษัทอื่นๆ สามารถค้นพบข้อมูลสำคัญของชั้นหินในแคนาดาและสหรัฐได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตเชื้อเพลิงคำนึงถึงแหล่งน้ำมัน ซึ่งอยู่ใกล้กับชายฝั่งของทั้ง 2 ประเทศมากขึ้น

เอ็กซ์ซอน เปิดเผยว่า จะเริ่มกระบวนการผลิตในปี 2560 โดยน่าจะสามารถผลิตน้ำมันได้ 150,000 บาร์เร็ลต่อวัน ทั้งนี้บริษัทขุดเจาะน้ำมันจากเมืองไอร์วิง รัฐเท็กซัสแห่งนี้ จะถือหุ้นผ่านบริษัทในเครือ 36% ในโครงการขุดเจาะดังกล่าว ร่วมกับเชฟรอน เอ็นเนอร์จี อิงค์ สเตทออยล์ และนาล์คอร์ เอนเนอร์จี แอนด์ แก๊ส

แม้สหรัฐไม่ได้อนุญาตให้ขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกมานานหลายสิบปีแล้ว ส่งผลให้พื้นผิวของทะเลแอตแลนติกอุดมสมบูรณ์สำหรับผู้ที่แสวงหาแหล่งน้ำมันสำรองใกล้กับแคนนาดา

ในปี 2555 บริษัทรอยัล ดัชท์ เชลล์ ออกมาระบุว่า บริษัทจะลงทุนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อสำรวจน่านน้ำของแอตแลนติกนอกจังหวัดโนวาสโกเชีย โดยตามรายงานของรัฐบาลแคนนาดา ระบุว่า กว่า 40%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในจังหวัดนิวฟาวนด์แลนด์และลาบราดอร์มาจากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ

นักวิเคราะห์อาวุธโสจากออปเปนไฮเนอร์ ฟาเดล ไจต์กล่าวว่า "ทวีปอเมริกาเหนือคือสถานที่ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก ทั้งในและนอกชายฝั่ง โดยทิศตะวันออกของประเทศแคนนาดายังไม่ได้รับการสำรวจที่เพียงพอ"

ทั้งนี้การขุดเจาะน้ำมันจะเกิดขึ้น 200 ไมล์ทางตอนใต้ห่างจากเมืองเซนต์จอห์น และขุดลึกลงไปกว่า 300 ฟุตในน้ำ เอ็กซ์ซอน เปิดเผยว่า บริษัทจะใช้แทนขุดแบบเดี่ยว ซึ่งมีโครงสร้างตามแรงโน้มถ่วง โดยแท่นขุดดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อให้ทนทานต่อทะเลน้ำแข็งของชายฝั่งแอตแลนติก

รัฐบาลกลางของประเทศแคนาดาและรัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัดนิวฟาวนด์แลนด์กับลาบราดอร์ อนุมัติโครงการดังกล่าวแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ที่มา -
#4602
"ชัชชาติ" สั่ง สนข.ทำรายละเอียดโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เร่งทำความเข้าใจคลังขั้นตอนเบิกจ่ายก่อนเข้า ครม.ม.ค.นี้ พร้อมเร่งทุกหน่วยสางปัญหาโครงการล่าช้า จี้ กทท.แก้คอขวดทางเข้าออกแหลมฉบัง เหตุถูกผู้ประกอบการร้องเรียนหนัก ยันค่าแรง 300 บาทไม่กระทบต้นทุนงานก่อสร้าง


นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมติดตามการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม วานนี้ (7 ม.ค.) ว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดำเนินโครงการที่ล่าช้าและแก้ปัญหาการให้บริการ เช่น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องเร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) สีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี) และเจรจากับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล ในการบริหารสัญญาเดินรถส่วนเชื่อมต่อระหว่างสถานีบางซื่อของรถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมรัชมงคลที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน กับสถานีเตาปูนของสายสีม่วง ระยะทาง 1 กิโลเมตร

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ต้องเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ส่วนต่อขยาย (พญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) โครงการรถไฟทางคู่ (ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย) และรถไฟสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ส่วนกรมทางหลวง (ทล.) เร่งโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา และบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ให้เร่งดำเนินโครงการยกระดับถนนเพื่อเป็นคันกั้นน้ำให้เป็นไปตามแผนงาน

ส่วนการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ต้องเร่งแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณทางเข้าออกของท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เนื่องจากด่านชั่งน้ำหนักและด่านเก็บเงินเป็นคอขวด และได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้บริการและหอการค้า พร้อมกันนี้จะต้องเร่งสรุปรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับโครงการท่าเทียบเรือปากบารา จ.สตูล ว่าจะเป็นท่าเรืออเนกประสงค์ หรือท่าเรือขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ เพราะตามแผนท่าเรือน้ำลึกถูกต่อต้านมาก ส่วนกรมเจ้าท่า (จท.) ให้ตรวจสอบโครงการขุดลอก 26 โครงการ วงเงิน 1,215 ล้านบาทที่ถูกอภิปรายไม่วางไว้ใจและแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นอีก

ด้านการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นอกจากปรับปรุงปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง โดยส่งเสริมให้มีการใช้บัตรผ่านทางอัตโนมัติ (Easy Pass) แล้วจะต้องเร่งโครงการก่อสร้างทางพิเศษขั้นที่ 3 สายเหนือ ช่วง N1 N2 และ N3 โดยเฉพาะช่วงที่มีเสาตอม่อแล้วให้ดำเนินการก่อสร้างก่อน โดยไม่ต้องรอส่วนที่ติดปัญหาเวนคืน เช่น บริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาจราจรระหว่างจังหวัดนนทบุรี เขตบึงกุ่ม และเขตบางกะปิ

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดแผนรายละเอียดการดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดทำ พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนมกราคมนี้ โดยต้องหารือเพื่อทำความเข้าใจในการเบิกจ่ายเงินกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เช่น กรณีวงเงินประมูลเกินราคากลางจะทำอย่างไร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทนั้น ได้ตรวจสอบพบว่ามีผลกระทบต่อการก่อสร้างงานทางของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6% ซึ่งถือว่าไม่มาก ส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้านั้นจะใช้เครื่องจักรเป็นหลักและค่าแรงเกิน 300 บาทอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแต่ละโครงการต้องทำแผนและตารางการก่อสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับเหมาเตรียมความพร้อมล่วงหน้า

ที่มา -
#4603
วันนี้ ( 7 ม.ค.56 ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษว่า ทางการอังกฤษประกาศเมื่อวันอาทิตย์ พร้อมใช้กำลังทางทหารกับอาร์เจนตินาหากมีความจำเป็น หลังกรณีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองชาติเรื่องหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง


นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์บีบีซี เพียงไม่กี่วันหลังประธานาธิบดีคริสตินา เคิร์ชเนอร์ ผู้นำหญิงแห่งอาร์เจนตินา ออกมากล่าวโจมตีอังกฤษว่า ใช้อิทธิพลและอำนาจของความเป็นเจ้าอาณานิคมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 บังคับขู่เข็ญ เพื่อแย่งชิงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์มาจากอาร์เจนตินา

คาเมรอนกล่าวว่า ถ้อยแถลงที่ค่อนข้างรุนแรงของเคียชเนอร์ เปรียบเสมือนการส่ง "สาส์นท้ารบ" ของรัฐบาลบัวโนสไอเรสมายังอังกฤษ ซึ่งในฐานะผู้นำประเทศ เขาพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอธิปไตยของอังกฤษ แม้จะต้องถึงขั้นการใช้กำลังทางทหาร อย่างไรก็ตาม คาเมรอนแสดงความเชื่อมั่นว่า กองทัพอังกฤษที่ประจำการอยู่บนหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดน ที่เป็นของอังกฤษอย่างชอบธรรม


นอกจากนี้ ผู้นำอังกฤษยังยกผลสำรวจความคิดเห็นประชากรทั้ง 3,000 คนบนหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ที่ระบุว่า ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษต่อไป ก่อนการลงประชามติอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้จะมีขึ้นในเดือนมี.ค.

ทางการอาร์เจนตินาส่งกองทัพเข้ารุกรานหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ เมื่อปี 2525 กระตุ้นให้นายกรัฐมนตรีมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ผู้นำอังกฤษในขณะนั้น ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังทางเรือ และทางอากาศเพื่อยึดหมู่เกาะแห่งนี้กลับคืน ทั้งนี้ การสู้รบที่เกิดขึ้นกินระยะเวลานานถึง 74 วัน คร่าชีวิตทหารอังกฤษไป 255 ศพ และทหารอาร์เจนตินา 649 ศพ

ที่มา -
#4604
แฟนเพจของ WWF Thailand ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ได้เสนอบทความเรียกร้องให้เลิกบริโภคหูฉลาม ในชื่อตอน "หลังคาแห่งความตาย" โดยชี้ให้เห็นว่า "หูฉลาม" แท้จริงแล้วก็คือ ครีบของปลาฉลาม ไม่มีประโยชน์ด้านโภชนาการต่อร่างกายแต่อย่างใด


เพจของ WWF ยังได้เผยแพร่ภาพหูฉลามนับร้อยๆ อัน ที่ถูกนำมาตากแดดบนหลังคาตึกแห่งหนึ่งในฮ่องกง เพื่อเตรียมรับเทศกาลตรุษจีน ในฮ่องกงที่กำลังมาถึง


ข้อมูลจาก WWF บ่งชี้อีกว่า เป็นที่รับรู้และพิสูนจ์แล้วทางวิทยาศาสตร์ว่า หูฉลาม หรือ ครีบปลาฉลาม นั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเลย



การณรงค์ครั้งนี้เพื่อหวังว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้ จะไม่มีใครกิน "ครีบปลา" แห่งความตาย

ที่มา -


#4605
นักวิทยาศาสตร์และสื่อญี่ปุ่นเปิดเผยว่า สามารถจับภาพปลาหมึกยักษ์ที่มีขนาดความยาวถึง 8 เมตรในบริเวณทะเลลึกของมหาสมุทรแปซิฟิคได้สำเร็จ


พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการถ่ายภาพปลาหมึกยักษ์ในถิ่นอาศัยของมัน ร่วมกับสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค และสถานีโทรทัศน์ดิสคัฟเวอรี แชนเนล ของสหรัฐฯ  ซึ่งสามารถจับภาพของปลาหมึกยักษ์ในระดับความลึก 630 เมตร ดดยใช้เรือดำน้ำเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ห่างจากชายฝั่งเกาะจิจิ บริเวณน่านน้ำแปซิฟิคตอนเหนือไปทางตะวันออกราว 15 กม.

เอ็นเอชเคเผยแพร่ภาพวิดีโอหมึกยักษ์ตัวสีเงิน ซึ่งมีดวงตาสีดำขนาดใหญ่ ขณะกำลังว่ายทวนกระแสน้ำ พร้อมทั้งใช้หนวดยึดหมึกที่ใช้เป็นเหยื่อล่อเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า หมึกยักษ์ตัวนี้มีความยาวราว 3 เมตร แต่คาดว่าอาจยาวถึง 8 เมตร หากหนวดยาวทั้ง 2 หนวดไม่ได้ถูกตัดออกไป แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนวดเหล่านั้น

เรือดำน้ำซึ่งมีลูกเรือ 3 คน รวมถึงนายสึเนมิ โคบุเดระ ผู้เชี่ยวชาญด้านหมึกจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฯ ได้ตามหมึกยักษ์ไปที่ความลึก 900 เมตร ขณะที่มันกำลังกำลังว่ายน้ำลงไปที่พื้นมหาสมุทร ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นับเป็นการประสบความสำเร็จครั้งแรกในการถ่ายภาพหมึกยักษ์ในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของมัน ซึ่งอยู่ใต้ท้องทะเลลึกในมหาสมุทรแปซิฟิก และมีก๊าซออกซิเจนเพียงเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ในปี 2006 นายโคบุเดระได้ถ่ายภาพหมึกยักษ์เป็นครั้งแรกจากบนเรือหลังจากที่ติดเบ็ดและถูกนำตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ เขากล่าวว่า นักวิจัยจากทั่วโลกเคยพยายามที่จะถ่ายภาพปลาหมึกยักษ์ดังกล่าวในถิ่นที่อยู่เดิมของพวกมันหลายครั้ง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

หมึกยักษ์ ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า อาร์คิทิวทิส (Architeuthis) มักจะถูกกล่าวถึงว่าเป็นปริศนาลี้ลับสุดท้ายของมหาสมุทรแปซิฟิก เนื่องจากไม่เป็นมิตรกับมนุษย์ จึงทำให้มีการสำรวจสัตว์ชนิดนี้น้อยมาก

ที่มา -




นักวิทย์ญี่ปุ่นเผยภาพหมึกยักษ์จากใต้ทะเลขนาด 8 เมตร

วันนี้ ( 7 ม.ค.56 ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเผยแพร่ภาพของปลาหมึกยักษ์ขนาด 8 เมตรตัวหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ภายใต้ทะเลลึกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจุดน่าสนใจ ที่สร้างความพิศวงให้แก่ทีมงาน อยู่ที่หนวด 2 เส้นของปลาหมึกตัวนี้ ที่หายไปอย่างเป็นปริศนา


นายทสึเนมิ คุโบเดระ นักวิจัยของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงาน 3 คน ผู้ดำดิ่งลงไปเก็บภาพปลาหมึกยักษ์ตัวนี้ กล่าวว่า ผลงานดังกล่าวได้รับความร่วมมือ และการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค และสถานีโทรทัศน์เคเบิลด้านสารคดี ดิสคัฟเวอรี่ แชนนอล ของสหรัฐ

ทีมงานเดินทางด้วยเรือดำน้ำ ดำดิ่งลงไปที่ความลึก 630 เมตร ห่างจากชายฝั่งเกาะชิชิ ไปทางตะวันออกราว 15 กิโลเมตร เมื่อช่วงเดือนก.ค. ปีที่แล้ว แม้จะพบปลาหมึกตัวดังกล่าว แต่ทีมงานต้องไล่ตามปลาหมึกลงไปที่ระดับความลึกถึง 900 เมตร เนื่องจากมันพยายามว่ายหนี

ปลาหมึกตัวที่ทีมงานถ่ายทำมาได้นั้นมีสีเงิน ดวงตาสีดำสนิท เฉพาะส่วนลำตัวมีขนาดราว 3 เมตร แต่หากแผ่กางหนวดออกเต็มที่จะมีขนาดยาวถึง 8 เมตร แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า หนวด 2 เส้นของปลาหมึกตัวนี้หายไปอย่างลึกลับ ซึ่งคุโบเดระกล่าวว่า เขาและทีมงานอยู่ระหว่างค้นหาสาเหตุว่า หนวดของมันหายไปได้อย่างไร

ปลาหมึกยักษ์ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Architeuthis เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่มีความลึกลับที่สุดสำหรับมนุษย์ เนื่องจากพวกมันมักอาศัยอยู่ในทะเลที่มีระดับความลึกสูง ซึ่งจะมีปริมาณออกซิเจนต่ำ

ที่มา -

#4606
อินเดีย 7 ม.ค. 56 - เกิดเหตุเพลิงไหม้คลังน้ำมันของอินเดียเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และสร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


นายเอ็ม วีรัปปา มอยลี รัฐมนตรีน้ำมันของอินเดีย กล่าวว่า ความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้คลังเก็บน้ำมัน ของบริษัทน้ำมันอินเดียออยล์ ในเมืองซูรัต ทางภาคตะวันตก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายแก่น้ำมันในคลังเกือบ 5 พันกิโลลิตร ตลอดจนทรัพย์สินอื่น ๆ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน  เวลานี้ทางการได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจะต้องรายงานผลต่อรัฐบาลภายในวันที่ 20 มกราคม นี้


ทั้งนี้ เหตุเพลิงไหม้ในอินเดียเกิดขึ้นบ่อยครั้งเนื่องจากขาดมาตรการในการดูแลความปลอดภัย ทั้งในย่านการค้า และในเขตที่อยู่อาศัย ตลอดจนบริษัทต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ที่มา -

#4607
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 4 ธ.ค. 56 ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุม เรื่อง การบริหารจัดการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต โดยมี นายธำรงค์ ทองตัน ธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ เจ้าท่าภูมิภาคที่5 สาขาภูเก็ต นายประเจียด อักษรธรรมกุล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดภูเก็ต หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม


สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเดินทางมาราชการจังหวัดภูเก็ตและมาตรวจเยี่ยม ให้นโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต และการปรับปรุงท่าเรือให้ได้มาตรฐานสากล

นายธำรงค์ กล่าว่า ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ตั้งอยู่บนที่ดินราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก.308 ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต มีเนื้อที่ 105-2-13 ไร่ ความยาวหน้าท่า 360 เมตร ลึก 17 เมตร ซึ่งทางกรมเจ้าท่าได้ก่อสร้างเสร็จในปี 2531 และได้ส่งมอบท่าเรือภูเก็ตให้กับกรมธนารักษ์ ทางกรมธนารักษ์ได้มีการดำเนินการจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุในเชิงพาณิชย์ โดยให้บริษัท เจ้าพระยาท่าเรือสากล จำกัด เข้ามาบริหารจัดการซึ่งในปีนี้ทางบริษัทฯ กำลังจะหมดสัญญากับทางกรมธนารักษ์ จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการในระหว่างรอการต่อสัญญาฉบับใหม่ รวมถึงการพัฒนาท่าเรือให้มีมาตรฐานสากลในการรองรับการขนส่งทางน้ำทั้งในด้านเรือท่องเที่ยวและเรือสินค้า

นอกจากนี้ทางผู้บริหารฯ ท่าเรือน้ำลึกยังได้มีการเสนอโครงการพัฒนาขยายท่าเรือน้ำลึก โดยมีแผนการขยายความยาวหน้าท่าจาก 360 เมตร เป็น 420 เมตร โดยเพิ่มหลักผูกเรือจำนวน 2 ตัว เพื่อให้สามารถรับเรือโดยสารขนาดใหญ่ (เรือ Cruise) และเรือสินค้าพร้อมกันได้ โดยจะใช้สำหรับจอดเรือโดยสารเป็นหลัก หลักผูกเรือแต่ละแท่นมีระดับเดียวกันกับหน้าท่าเดิมและอยู่ห้างกัน 30 เมตร เชื่อมต่อด้วยสะพานเหล็กสำหรับให้พนักงานเข้าไปปฏิบัติงาน บนแท่นจะติดตั้งยางกันกระแทก และพุกผูกเรือ ก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย Duty Free Shop ห้องสุขา พื้นที่ทำงานสำหรับเจ้าหน้าที่ ICQ พื้นที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม โถงและทางเดิน และพื้นที่จำหน่ายของที่ระลึก

ที่มา -
#4608
วันนี้ (5 ม.ค.56) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ว่า จีนอากาศกำลังหนาวจัด อุณหภูมิลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี น้ำในแม่น้ำสายต่างๆ ตามแนวชายฝั่งกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้เรือติดค้างเป็นจำนวนมาก สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงาน โดยอ้างข้อมูลสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติว่า นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ย. เป็นต้นมา อุณหภูมิเฉลี่ยของจีนลดลง – 3.8 องศาเซลเซียส หนาวเย็นกว่าค่าเฉลี่ยก่อนหน้านี้ 1.3 องศา ซึ่งนับเป็นภาวะอากาศหนาวเย็นที่สุดของประเทศในรอบ 28 ปี


อากาศหนาวเหน็บส่งผลให้น้ำทะเลในอ่าวไหลโจว บนชายฝั่งมณฑลชานตง ทางภาคตะวันออก กลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้เรือน้อยใหญ่ติดค้างอยู่ในอ่าวมากกว่า 1,000 ลำ นายเจิ้ง ต่ง หัวหน้าคณะนักอุตุนิยมวิทยา ประจำศูนย์ตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทางทะเลหยานไต้ ในสังหักสำนักงานมหาสมุทรแห่งชาติจีน กล่าวว่า น้ำในอ่าวไหลโจวพื้นที่ 291 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด นอกจากนั้น ยังมีรายงาน อุณหภูมิเฉลี่ยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศลดลงอีก สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 43 ปีที่ – 15.3 องศาเซลเซียส.

ที่มา -




จีนหนาวสุดรอบ28ปีเรือค้างกลางน้ำแข็ง

จีนเผชิญอุณหภูมิต่ำสุดในรอบ 28 ปี สั่งปิดถนน เลื่อนเที่ยวบิน น้ำทะเลแข็งตัวจนเรือติดนับ 1,000 ลำ


กรมอุตุนิยมวิทยาจีน เปิดเผยว่า จีนกำลังเผชิญกับอากาศหนาวเย็นสุดในรอบ 28 ปี โดยนับตั้งแต่เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา อุณหภูมิดิ่งต่ำสุดเฉลี่ยที่ ลบ 3.8 องศาเซลเซียส ต่ำกว่าเมื่อปีก่อน 1.3 องศาเซลเซียส ส่งผลกระทบต่อการจราจรทั้งทางอากาศและทางบกทั่วประเทศอย่างหนัก

หนังสือพิมพ์ไชนา เดลี รายงานว่า ที่มณฑลชานตง ทางตะวันออกของประเทศ อุณหภูมิร่วงลงอย่างต่อเนื่องจนน้ำทะเลบริเวณอ่าวไลโจวกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง ส่งผลให้เรือมากถึง 1,000 ลำ ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้

ด้านเจิ้งดง นักอุตุนิยมวิทยาประจำศูนย์วิจัยทางทะเลเหยียนไถ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ธารน้ำแข็งในอ่าวไลโจวได้ขยายตัวกินพื้นที่กว่า 291 ตารางกิโลเมตรแล้ว

ขณะเดียวกัน ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศนั้น อุณหภูมิดิ่งลงสู่ระดับ ลบ15.3 องศาเซลเซียส ซึ่งนับเป็นอุณหภูมิที่ต่ำสุดในรอบ 43 ปี

สำหรับผลกระทบต่อการจราจรนั้น มีรายงานว่า ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงปักกิ่งจำเป็นต้องเลื่อนเที่ยวบินกว่า 140 เที่ยว ขณะที่ทางการได้สั่งปิดทางด่วนพิเศษกรุงปักกิ่ง-ฮ่องกง-มาเก๊า แล้วหลังหิมะตกหนัก

ที่มา -

#4609
วันนี้ ( 4 ม.ค.56 ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า บริษัท "ทรานสโอเชียน" ของสหรัฐ  ซึ่งเป็นเจ้าของแท่นขุดเจาะน้ำมัน "ดีพวอเทอร์ ฮอไรซอน" ยินยอมชำระค่าเสียหายให้แก่ทางการสหรัฐเป็นมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชดเชยกรณีอุบัติเหตุแท่นขุดเจาะระเบิดกลางอ่าวเม็กซิโก จนส่งผลให้น้ำมันปริมาณมหาศาลรั่วไหล เมื่อปี 2553


รายงานของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี ระบุว่า ผู้บริหารของทรานสโอเชียน ซึ่งให้บริษัท บีพี ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของอังกฤษ เช่าแท่นขุดเจาะน้ำมันดังกล่าว ยอมรับว่าได้กระทำการละเมิดพระราชบัญญัติน้ำสะอาด และยินยอมชำระค่าเสียหายจำนวน 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 43.4 พันล้านบาท ) แบ่งเป็นค่าเสียหายที่ต้องชำระให้แก่ภาครัฐ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 31 พันล้านบาท ) และอีก 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 12.4 พันล้านบาท ) เป็นค่าดำเนินการเพื่อยุติคดีความ

ทั้งนี้ ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวจะถูกแบ่งสรรเป็นค่าทำความสะอาดคราบน้ำมันตามแนวชายฝั่ง 5 รัฐของสหรัฐ ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงเพื่อจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และมอบให้เป็นเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ ตลอดจนประชาชนตามแนวชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบ


ก่อนหน้านี้ บีพี ซึ่งเป็นบริษัทผู้ดำเนินการขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ต้องชำระค่าเสียหาย 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1.39 แสนล้านบาท ) ให้แก่รัฐบาลวอชิงตัน  ซึ่งถือเป็นค่าปรับในคดีสิ่งแวดล้อมที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยเหตุการณ์แท่นขุดเจาะระเบิดเมื่อเดือนเม.ย. 2553 คร่าชีวิตคนงานไป 11 ศพ บาดเจ็บ 17 ราย นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันกว่า 4.9 ล้านบาร์เรลที่รั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก ถือเป็นวิกฤตน้ำมันรั่วไหลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลก  และเป็นหายนะทางสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ

ที่มา -



#4610
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยวันนี้ (4 ม.ค.)ว่า รัฐบาลเมียนมาร์ต้องการปรับเปลี่ยน Framework Agreement  โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึก  โดยเปลี่ยนคู่สัญญาจากบริษัท  อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD เป็นบริษัท โฮลดิงคอมพานีใหม่


ทั้งนี้ พม่าระบุว่า ต้องการให้เขียน Framework หรือข้อตกลงใหม่ ที่เดิมทำกับบริษัท อิตาเลียนไทยฯ อยากแก้ไขเพื่อหาผู้ลงทุนใหม่  ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ หรือโฮลดิงคอมพานี  เพราะพม่าเห็นว่าอิตาเลียนไทยฯ ทำงานช้า เนื่องจากไม่สามารถระดมทุนได้  จึงอยากแก้ไขสัญญาตรงนี้ และเป็นที่สิทธิรัฐบาลพม่าทำได้

ก่อนหน้านั้น บริษัท อิตาเลียนไทยฯร่วมลงนาม Framework Agreement กับ Myanma Port Authority, Ministry of Transport ของเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2553 เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย นิคมอุตสาหกรรม และเส้นทางคมนาคมเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่า

นายอาคมกล่าวต่อว่า ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ถือสัญญาแทนบริษัท อิตาเลียนไทยฯ นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป และยังไม่มีการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นว่า บริษัท อิตาเลียนไทยฯ จะถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์   อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยยืนยันว่าจะไม่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทนี้ แต่ให้เป็นการลงทุนของรัฐวิสาหกิจไทยและเอกชน ขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่สร้างกลไกที่ทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น       อย่างไรก็ตาม  เพื่อให้โครงการทวายเป็นไปได้ และจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาสร้างโรงงานในนิคมและใช้ท่าเรือ รัฐบาลเมียนมาร์ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือน้ำลึก และมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมระหว่างชายแดนไทยไปนิคมอุตสาหกรรมทวาย หากให้เอกชนลงทุนและเก็บค่าบริการเอง  ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงมาก เอกชนก็จะไม่มาใช้บริการ

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสาขาโครงสร้างพื้นฐาน และการก่อสร้างโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ระบุว่า การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานระยะเริ่มต้นของทวาย คาดว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2.7 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนในเขตประเทศเมียนมาร์ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งพม่าจะลงทุนประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท ส่วนอิตาเลียนไทยฯ ลงทุน 1 แสนล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าต้องหานักลงทุนมาช่วย

ส่วนรูปแบบการลงทุนกำหนดไว้ 2 รูปแบบที่เป็นไปได้ คือ 1.ตั้งโฮลดิงถือหุ้นในบริษัทย่อยด้านถนน ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ มีข้อดี เพราะจะนำรายได้จากบริษัทย่อยที่มีกำไรมาสนับสนุนบริษัทที่ไม่มีกำไร และ 2.ตั้งบริษัทแยกดำเนินการในแต่ละธุรกิจ ซึ่งจะต้องแล้วเสร็จโดยเร็ว

ที่มา -
#4611
บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) แจ้งว่า บริษัทได้ดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ชื่อ บริษัท โทรีเซน ชิปปิ้ง สิงคโปร์ พีทีอี แอลทีดี (TSS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TTA เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่มีทุนจดทะเบียน 80,000 โครนเดนมาร์ก คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 424,300 บาท


TSS จัดตั้งในประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 55 และเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 56 เพื่อให้บริการเช่าเรือและรับขนส่งสินค้าแห้งเทกอง

เหตุผลในการลงทุน เนื่องจากปัจจุบัน บริษัท โทรีเซน ชิปปิ้ง สิงคโปร์ พีทีอี แอลทีดี (TSS) มุ่งเน้นที่จะให้กองเรือราวครึ่งหนี่งของบริษัทฯให้บริการในแถบมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นเส้นทางที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเส้นทางในแถบเอเชียแปซิฟิค และเป็นเส้นทางที่ต้องการการบริการระดับพรีเมียมและมีกลุ่มลูกค้าหลากหลาย รวมทั้งลูกค้ารายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมในทวีปยุโรป ในขณะที่ TSS จะยังคงมีฐานปฏิบัติการด้านการขายและการตลาด (commercial activities) ในประเทศสิงคโปร์ การเปิดสำนักงานสาขาด้านการขายและการตลาดในโคเปนเฮเกนครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้ TSS ได้ขยายฐานลูกค้าและให้บริการลูกค้าในแถบทวีปยุโรปได้ดียิ่งขึ้น




โทรีเซน ชิปปิ้ง เปิดสาขาในโคเปนเฮเกน พร้อมให้บริการลูกค้าทั่วยุโรป ในพื้นที่มหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

โทรีเซน ชิปปิ้ง ผู้ให้บริการเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองชั้นนำ เปิดสำนักงานให้บริการเช่าเรือและรับขนส่งสินค้าทางเรือสาขาใหม่ขึ้นในประเทศเดนมาร์ก เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ต้องการขนส่งสินค้าตามเส้นทางในน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งนี้ สำนักงานขายที่โคเปนเฮเกนถือเป็นสาขาแรกของบริษัทที่ตั้งอยู่ในยุโรป

เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปได้โดยราบรื่น โทรีเซน ชิปปิ้ง จึงได้ดึงตัว มร. เฮนริค เยเรเมียสเซน มาร่วมงานในฐานะผู้อำนวยการประจำภาคพื้นทวีปยุโรป โดย มร. เยเรเมียสเซน มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปีในธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกอง และยังเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการเช่าเรือให้กับผู้ให้บริการเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองชั้นนำของยุโรปอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้แต่งตั้ง มร. แอนเดรียส รอสเซน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกองเรือประเภท Handymax/Supramax ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการเช่าเรือ เพื่อเสริมทีมผู้บริหารที่นำโดย มร. เยเรเมียสเซน ให้แกร่งยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน โทรีเซน ชิปปิ้งมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นให้บริการขนส่งสินค้าบนเส้นทางการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งมีอัตราค่าระวางเรือที่สูงกว่าเส้นทางอื่นๆ ด้วยบริการระดับพรีเมียมสำหรับสินค้าเทกองมูลค่าสูงจากลูกค้ารายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม การเปิดสำนักงานในโคเปนเฮเกนครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้โทรีเซน ชิปปิ้ง ได้ขยายฐานลูกค้าในทวีปยุโรปออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ภายใต้การบริหารงานโดยสำนักงานใหญ่ของบริษัทในประเทศสิงคโปร์ สำหรับในปีงบประมาณ 2555 ที่ผ่านมานั้น ราวครึ่งหนึ่งของกองเรือโทรีเซน ชิปปิ้ง ได้ให้บริการเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรแอตแลนติก

"การเปิดสำนักงานแห่งใหม่ในยุโรปนี้ทำให้เรามีโครงสร้างการทำงานที่ตรงกับทิศทางการพัฒนาธุรกิจของบริษัท โดยสำนักงานของเราทั้งในเอเชียและยุโรปจะได้รับการสนับสนุนจากทีมงานที่แข็งแกร่งในกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงเป็นอีกหนึ่งฐานการปฏิบัติงานหลักของเรา" มร. เอียน แคล็กซ์ตัน กรรมการผู้จัดการของโทรีเซน ชิปปิ้ง กล่าว "ภายใต้โครงสร้างนี้ เราจะสามารถให้บริการกับลูกค้ารายต่างๆ ทั้งในน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก อินเดีย และแอตแลนติกได้อย่างทั่วถึง ต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ ผมมั่นใจว่าบุคลากร ประสบการณ์ และเครือข่ายการประสานงานของเรา จะผสานกำลังกัน ผลักดันให้บริการของเรานั้นมีคุณภาพสูงขึ้นไปอีกสำหรับลูกค้าทุกราย"

โทรีเซน ชิปปิ้ง ได้ย้ายฐานการปฏิบัติงานด้านการขายและการตลาดของบริษัทจากกรุงเทพฯ ไปยังสิงคโปร์เมื่อเดือนมกราคม 2555 โดยมีการโอนสัญชาติกองเรือของบริษัททั้งหมดไปเป็นสัญชาติสิงคโปร์อีกด้วย โดยล่าสุด กองเรือของโทรีเซน ชิปปิ้ง ประกอบไปด้วยเรือขนส่งทั้งหมด 16 ลำ และมีอายุเฉลี่ยราว 11.5 ปี

ที่มา -




"โทรีเซน ชิปปิ้ง" เปิดสาขาเดนมาร์ก

โทรีเซน ชิปปิ้ง บริษัทย่อย "โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์" เปิดสาขาในโคเปนเฮเกน สาขาแรกในยุโรป เจาะกลุ่มขยายลูกค้าส่งสินค้าในน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติก และเมดิเตอร์เรเนียน แถมอัตราค่าระวางเรือสูงกว่าเส้นทางอื่น ด้วยบริการระดับพรีเมียมสำหรับสินค้าเทกองมูลค่าสูงจากลูกค้ารายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม

มร.เอียน แคล็กซ์ตัน กรรมการผู้จัดการ โทรีเซน ชิปปิ้ง บริษัทย่อยของ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA แจ้งว่า โทรีเซน ชิปปิ้ง ได้เปิดสำนักงานให้บริการเช่าเรือ และรับขนส่งสินค้าทางเรือสาขาใหม่ขึ้นในประเทศเดนมาร์ก เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ต้องการขนส่งสินค้าตามเส้นทางในน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งสำนักงานขายที่โคเปนเฮเกนถือเป็นสาขาแรกของบริษัทที่ตั้งอยู่ในยุโรป พร้อมกับดึงตัว มร.เฮนริค เยเรเมียสเซน มาร่วมงานในฐานะผู้อำนวยการประจำภาคพื้นทวีปยุโรปเพราะมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี

ปัจจุบัน โทรีเซน ชิปปิ้ง มีนโยบายที่จะมุ่งเน้นให้บริการขนส่งสินค้าบนเส้นทางการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งมีอัตราค่าระวางเรือที่สูงกว่าเส้นทางอื่นๆ ด้วยบริการระดับพรีเมียมสำหรับสินค้าเทกองมูลค่าสูงจากลูกค้ารายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม การเปิดสำนักงานในโคเปนเฮเกนครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้โทรีเซน ชิปปิ้ง ได้ขยายฐานลูกค้าในทวีปยุโรปออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ภายใต้การบริหารงานโดยสำนักงานใหญ่ของบริษัทในประเทศสิงคโปร์ สำหรับในปีงบประมาณ 2555 ที่ผ่านมานั้น ราวครึ่งหนึ่งของกองเรือโทรีเซน ชิปปิ้ง ได้ให้บริการเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรแอตแลนติก

"การเปิดสำนักงานแห่งใหม่ในยุโรปนี้ทำให้เรามีโครงสร้างการทำงานที่ตรงกับทิศทางการพัฒนาธุรกิจ
ของบริษัท โดยสำนักงานของเราทั้งในเอเชีย และยุโรปจะได้รับการสนับสนุนจากทีมงานที่แข็งแกร่งในกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงเป็นอีกหนึ่งฐานการปฏิบัติงานหลักของเราที่จะผสานกำลังกัน ผลักดันให้บริการของเรานั้นมีคุณภาพสูงขึ้นไปอีกสำหรับลูกค้าทุกราย"

ทั้งนี้ โทรีเซน ชิปปิ้ง ได้ย้ายฐานการปฏิบัติงานด้านการขาย และการตลาดของบริษัทจากกรุงเทพฯ ไปยังสิงคโปร์เมื่อเดือนมกราคม 2555 โดยมีการโอนสัญชาติกองเรือของบริษัททั้งหมดไปเป็นสัญชาติสิงคโปร์อีกด้วย โดยล่าสุด กองเรือของโทรีเซน ชิปปิ้ง ประกอบไปด้วยเรือขนส่งทั้งหมด 16 ลำ และมีอายุเฉลี่ยราว 11.5 ปี

ที่มา -
#4612
"ทะเลจีนใต้" เหตุร้อนแรงของอาเซียน ที่ว่ากันว่าจะเป็น "อุปสรรค" ใหญ่ของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี 2558 ที่ชาติสมาชิกควรจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในทุกระดับชั้น ทั้งยังเป็นปัญหาที่ทำให้ประธานอาเซียนในปีที่แล้วอย่าง กัมพูชา ไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วม ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนได้ เนื่องจากกัมพูชาอยู่ข้างมหาอำนาจจีน ในกรณีขัดแย้งนี้ มากกว่าชาติอาเซียนด้วยกันอย่างฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน


ทีมข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ประมวลเหตุการณ์ขัดแย้ง "ทะเลจีนใต้" ที่ถือเป็นเหตุร้อนแรงที่สุดของอาเซียน โดยประมวลตามลำดับเวลา นับตั้งแต่ปี 2489 มาจนถึงล่าสุด

จุดเริ่มความขัดแย้ง

2489 จีนในสมัยพรรคก๊กมินตั๋ง แสดงความเป็นเจ้าของเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์ ด้วยการสำรวจและปักธงที่ "เกาะไถ้ผิงเต่า" หรือ "เกาะอิตูอาบา" ซึ่งเป็นเกาะเดียวที่มีน้ำจืด และมนุษย์สามารถอยู่ได้

2499 นายโธมัส โคลมา นักธุรกิจชาวฟิลิปปินส์ ออกสำรวจบริเวณโขดหินรกร้าง บริเวณทะเลจีนใต้ ตลอดจนยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลฟิลิปปินส์เข้ามาจัดการในหมู่เกาะรกร้างทางทิศตะวันตกของเกาะปาลาวัน แต่รัฐบาลไม่สนใจ นายโคลมาจึงตั้งสมาคมเพื่อจัดการ พร้อมทั้งเขียนแผนที่ และตั้งชื่อหมู่เกาะบริเวณนั้นว่า "กาลาอายาน"

2501 จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้โดยประกาศอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล เวียดนามใต้ ส่งเรือเข้าไปยึดบางส่วนของหมู่เกาะสแปรตลีย์ รวมทั้งทางใต้ของหมู่เกาะพาราเซล

2512 หน่วยงานของสหประชาชาติ Economic Commission for Asia and the Far East หรือ ECAFE เริ่มมีการสำรวจน้ำมันในทะเลจีนใต้ และพบว่ามีก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจำนวนมหาศาล

2516-2517 สหรัฐแพ้สงครามเวียดนาม จีนจึงส่งกองทัพมายึดหมู่เกาะสแปรตลีย์ทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นการปะทะกันครั้งแรกทางทหารระหว่างเวียดนามใต้กับจีน พร้อมทั้งประกาศว่า "สแปรตลีย์เป็นของจีน"

2518 หลังเวียดนามรวมเหนือใต้แล้ว ได้ส่งเรือไปยึดหมู่เกาะสแปรตลีย์เกือบทั้งหมด ยกเว้น "เกาะไถ้ผิงเต่า" ของไต้หวัน เวียดนามขัดแย้งกับจีนประเด็นเขตแดนอ่าวตังเกี๋ย ส่วนจีนไม่กล้าตอบโต้ เนื่องจากกำลังมีปัญหากับโซเวียต และเวียดนามยังประกาศเป็นพันธมิตรกับโซเวียตอีกด้วย

2520 เวียดนามประกาศสิทธิเหนือน่านน้ำจีนใต้อย่างเป็นทางการพร้อมยึดกฎหมายทางทะเลที่ครอบครองน่านน้ำโดยยึดเอาเขตไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเล

2522 นายแฟร์ดินาน มากอส ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ออกกฎกฤษฎีกาว่าด้วยการยึดครองหมู่เกาะกาลาอายานอย่างเป็นทางการ พร้อมกับส่งทหารเข้ายึด ส่งผลให้เกิดกระแสคัดค้านจากไต้หวัน จีน และเวียดนาม

2523 มาเลเซียประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล จากนั้นปี 2526 มาเลเซียส่งทหารเข้าไปยึดเกาะ 3 เกาะ ในทะเลจีนใต้ พร้อมทั้งสร้างอาคาร 2 ชั้น บน "เกาะเอลิสัน รีฟ" ซึ่งห่างจากเกาะปาลาวัน 225 กิโลเมตร

2525 สหประชาชาติประกาศกฎหมายทางทะเล ส่วนฟิลิปปินส์ประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล เข้าไปยังพื้นที่ทะเลจีนใต้

2527 บรูไนอ้างเศรษฐกิจจำเพาะซึ่งทับซ้อนพื้นที่ในทะเลจีนใต้

2531 ทหารเรือเวียดนามปะทะกับทหารจีนในบริเวณทะเลจีนส่งผลให้ทหารเวียดนาม 70 นายเสียชีวิต ที่บริเวณเกาะจอห์นสัน รีฟ   

2538 จีนยึดเกาะมิชีฟรีฟ ซึ่งเป็นเกาะที่ฟิลิปปินส์อ้างสิทธิ์

2543 ทหารเรือฟิลิปปินส์สังหารชาวประมงจีนและจับกุมอีก 7 คน ใกล้กับเกาะปาลาวัน หลังจากที่ชาวประมงได้ข้ามเข้ามายังน่านน้ำที่ฟิลิปปินส์อ้างขัดแย้งหนักตลอดปี"55

เมษายน 2555 เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างเรือรบของฟิลิปปินส์ กับเรือลาดตระเวนจีน 2 ลำ บริเวณหินโสโครกสการ์โบโร ซึ่งเป็นเขตที่ฟิลิปปินส์อ้าง

พฤษภาคม 2555 นางฟู่ หยิง รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศจีน ได้เรียกทูตฟิลิปปินส์ประจำกรุงปักกิ่งเข้าพบเพื่อตำหนิสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ส่งผลให้ทั้งสองประเทศสั่งห้ามการประมงทุกชนิดบริเวณหินโสโครกสการ์โบโร   

กรกฎาคม 2555 เรือรบชั้นเจียงหูของจีนที่ชื่อว่า 560 ตงก๋วน เข้าไปเกยตื้นบนเกาะฮาซา ฮาซา ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะที่อ้างโดยฟิลิปปินส์ ซึ่งก่อให้เกิดกระแสความตึงเครียดอย่างมากระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตามสถานการณ์คลี่คลายลง เนื่องจากเรือดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยและแล่นกลับไปยังประเทศจีน ขณะเดียวกัน การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 45 ในกรุงพนมเปญ ไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมกันได้ เนื่องจากฟิลิปปินส์ต้องการที่จะให้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยแบบพหุภาคีมากกว่าทวิภาคี ซึ่งสวนทางกับความต้องการของจีน


ในเดือนเดียวกัน เวียดนามออกกฎหมายใหม่ ให้อำนาจการปฏิบัติหน้าที่ของทหารเรือของตน ในพื้นที่หมู่เกาะสแปรตลีย์และพาราเซล ขณะเดียวกันคณะกรรมการกลางการทหารของจีนจัดตั้งกองกำลังรักษาตนเองบนเกาะซานชา ทำให้เกิดกระแสทักท้วงจากทางฟิลิปปินส์และเวียดนาม ซึ่งทางการจีนได้ตอบโต้การประท้วงโดยการเรียกเจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงของสหรัฐ เพื่อย้ำถึงอธิปไตยจีนเหนือน่านน้ำทะเลจีนใต้

กันยายน 2555 นายเบญิโน อกิโน ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ออกแถลงการณ์ระบุถึงการเปลี่ยนชื่อ พื้นที่ทางทะเลด้านทิศตะวันตกของหมู่เกาะจาก "ทะเลจีนใต้" เป็น "ทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตก"

พฤศจิกายน 2555 การประชุมผู้นำเอเชียตะวันออกที่พนมเปญดุเดือด หลังจากที่ประเทศสมาชิกอาเซียนไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมกันได้ เนื่องจากฟิลิปปินส์แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกรณีทะเลจีนใต้ ตลอดจนต้องการที่จะให้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในแบบพหุภาคีมากกว่าทวิภาคี

ในเดือนเดียวกัน จีนออก "หนังสือเดินทาง" แบบใหม่โดยพิมพ์แผนที่จีน ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของทะเลจีนใต้ รวมไปถึงพื้นที่พิพาทระหว่างจีนกับอินเดีย ต่อมา มณฑลไห่หนาน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน ได้ออกกฎระเบียบใหม่ซึ่งให้อำนาจแก่ตำรวจท้องถิ่นในการขึ้นเรือต่างด้าว รวมถึงขับไล่เรือที่เข้าสู่น่านน้ำทางทะเลของมณฑลนี้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ปี 2556 นี้

"ทะเลจีนใต้" ปัญหาลุกลามใหญ่โต และยังคงเป็นประเด็นที่แก้กันไม่ตก และก็ต้องเฝ้าจับตามองกันต่อไปว่า "อาเซียน" จะขัดแย้งกันเองเหมือนที่ผ่านมา หรือจะยอมแบ่งผลประโยชน์กันกับจีน โดยต้องดูว่าประธานอาเซียน

ปี 2556 อย่าง "บรูไน" จะตั้งรับปัญหานี้แบบไหน และจะเกิดเหตุอย่างการประชุมอาเซียน ไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมได้อีกหรือไม่ ดังเช่นปีที่ผ่านมา ต้องรอดู

ที่มา -

#4613
รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ระดับน้ำในแม่น้ำมิสซิสซิปปีของสหรัฐฯ ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจนใกล้ทำสถิติต่ำสุดในประวัติศาสตร์ กระทบต่อการเดินเรือและการขนส่งทางน้ำเป็นวงกว้าง


รายงานซึ่งอ้างข้อมูลจากสำนักงานสภาพอากาศแห่งชาติ (NWS) ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีฐานในซิลเวอร์ สปริงในมลรัฐแมริแลนด์ รวมถึงสถานีตรวจวัดปริมาณน้ำที่เมืองธีบีส มลรัฐอิลลินอยส์ระบุว่า สภาพอากาศที่แห้งแล้งรุนแรงที่สุดของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำมิสซิสซิปปีที่เปรียบเสมือน "เส้นเลือดใหญ่" หล่อเลี้ยงพื้นที่ภาคกลางและตอนใต้ของสหรัฐฯ ลดต่ำลงจนเหลือไม่ถึง 4 ฟุตเมื่อวันพุธ (2) โดยลดลงจากระดับ 4.45 ฟุตเมื่อสัปดาห์ก่อน และมีแนวโน้มที่ระดับน้ำของแม่น้ำสายนี้จะลดลงเหลือ 3.2 ฟุตภายในวันพุธหน้า (9 มกราคม) ซึ่งจะถือเป็นระดับน้ำที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือจากสภาผู้ให้บริการขนส่งทางน้ำอเมริกันประเมินว่า หากระดับน้ำในแม่น้ำมิสซิสซิปปียังคงลดลงต่อเนื่องจะส่งผลให้ต้องยุติการเดินเรือในเชิงพาณิชย์อย่างสิ้นเชิงภายในช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงทางเศรษฐกิจ

ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่งมีการประกาศยุติการเดินเรือขนส่งสินค้าทุกประเภทจนถึงวันที่ 7 มกราคมเป็นอย่างน้อย ในแม่น้ำมิสซิสซิปปีช่วงที่ไหลผ่านระหว่างเมืองไคโร มลรัฐอิลลินอยส์ ถึงเมืองเซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรีมาแล้ว เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำต่ำเกินกว่าจะรองรับการเดินเรือได้ตามปกติ


ขณะเดียวกัน การหยุดชะงักของการขนส่งสินค้าในแม่น้ำมิสซิสซิปปีอาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานของประชาชนมากกว่า 8,000 ตำแหน่ง และทำให้การขนส่งสินค้านานาชนิดซึ่งมีน้ำหนักรวมกว่า 7.2 ล้านตันกลายเป็นอัมพาต คิดเป็นวงเงินไม่ต่ำกว่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 85,000 ล้านบาท)

ทั้งนี้ แม่น้ำมิสซิสซิปปีซึ่งมีความยาวกว่า 4,000 กิโลเมตรถือเป็นแม่น้ำที่สำคัญที่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ โดยมีเส้นทางทอดยาวผ่านมลรัฐมินนิโซตา วิสคอนซิน ไอโอวา อิลลินอยส์ มิสซูรี เคนทักกี เทนเนสซี อาร์คันซอส์ มิสซิสซิปปี และมลรัฐลุยเซียนา

ที่มา -

#4614
ซูเปอร์เรือยอร์ช ของมหาเศรษฐีรัสเซีย และการ์ต้า ล่องไปฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่เดียวกันโดยบังเอิญ


3 ม.ค. 56  โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เจ้าของสโมสรเชลซี ล่องเรือเที่ยวเกาะเซนต์ บาร์ทส์ ในแคริบเบียน จัดปาร์ตี้หรูส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ บนเรือยอร์ชส่วนตัวสุดหรู อิคลิพส์ ที่เปรียบเสมือนอสังหาริมทรัพย์ลอยน้ำขนาด 175 ไร่ มูลค่า 1 พันล้านปอนด์ หรือราว 5 หมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกัน ก็มีเรือยอร์ชหรู อัล มีร์กั๊บ (Al Mirqab) ของนายกรัฐมนตรีแห่งการ์ต้า ลอยลำอยู่ไม่ไกล และดูเหมือนอับราโมวิช ซึ่งได้ชื่อว่าคุ้นชินแต่สิ่งที่ดีที่สุด จะพอใจกับการที่ต้องมาแย่งพื้นที่ในการทิ้งสมอเรือซูเปอร์ยอร์ช นอกชายฝั่งเกาะเซนต์ บาร์ทส์ กับบุคคลระดับอีมีร์ หรือเจ้าชายแห่งการ์ต้า อย่าง ฮาหมัด บิน จัสซิม บิน จาเบอร์ อัล ธานี ซึ่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ

ซูเปอร์ยอร์ชหรูทั้งสองลำ จอดทอดสมอเคียงกันอยู่ที่ท่าเรือ กุสตาเวีย ของเกาะเซนต์ บาร์ทส์ ในแคริบเบียน ที่ดูเหมือนเป็นการเปรียบเทียบกันว่า เรือของมหาเศรษฐีคนไหนสวยงามที่สุด หรูหราที่สุด พรั่งพร้อมไปด้วยเฮลิคอปเตอร์และเจ็ตสกี

เรือยอร์ชของอับราโมวิช ได้ชื่อว่าเป็นเรือของเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความยาว 557 ฟุต ขณะที่เรือยอร์ชของเจ้าชายการ์ต้า ยาว 436 ฟุต แต่ก็ยังยาวกว่าสนามฟุตบอล และแม้จะเล็กว่าเรืออิคลิพส์ แต่เรืออัล มีร์กั๊บ ก็ยังคงติดหนึ่งในเรือยอร์ชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และได้ชื่อว่า มีความสวยงามที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก นับตั้งแต่สร้างขึ้นเมื่อปี 2551


เรือยอร์ช มีร์กั๊บ สามารถรองรับแขกเหรื่อได้ 24 คน โดยมีห้องสูทหรู 10 ห้องไว้คอยรับรอง และยังมีห้องสูทระดับวีไอพีอีก 2 แห่ง สำหรับผู้เป็นเจ้าของ ส่วนระดับพนักงานประจำเรือ ก็จะมีห้องพักต่างหากอีก 55 ห้อง ห้องสูทแต่ละห้องจะมีขนาดใหญ่ เพราะพรั่งพร้อมไปด้วยห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นและห้องนอนเตียงคู่ ภายในเรือยังมีโรงภาพยนตร์ , บาร์ด้านนอก , สระว่ายน้ำในร่ม , จากุซซีกลางแจ้ง , ลานอาบแดด และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ นอกจากนี้ยังอุปกรณ์กีฬาทางน้ำเพื่อความบันเทิงอีกหลายอย่าง รวมทั้งเจ็ตสกี และของเล่นสำหรับเด็กผู้ชาย

อับราโมวิช ต้องการล่องเรือไปฉลองส่งท้ายปีเก่า ที่ริมชายหาด เกอแวร์เนอร์ เรือยอร์ชอิคลิพส์ของเขา มีสระว่ายน้ำถึง 2 สระ , เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ , ห้องโถงสำหรับเต้นรำ , ห้องพักราว 30 ห้อง , เรือดำน้ำขนาดเล็ก และระบบป้องกันขีปนาวุธ อยู่ภายใต้การควบคุมของลูกเรือ 80 คน ที่แต่งเครื่องแบบสีน้ำตาล

เชื่อว่า ตอนที่สั่งให้สร้าง เรืออิคลิพส์มีมูลค่าเริ่มต้นที่ราว 330 ล้านปอนด์ แต่ตอนที่อับราโมวิช ได้รับมอบ เมื่อปี 2553 มูลค่าของเรือได้พุ่งขึ้นไปถึง 1 พันล้านปอนด์ เนื่องจากมีการต่อเติมและติดตั้งอุปกรณ์หรูและมาตรการรักษาความปลอดภัย


ปัจจุบัน อับราโมวิช มีวัย 46 ปี มีลูก 6 คน ทั้งที่เกิดจากภรรยาคนแรก คือ อิริน่า และแฟนสาวคนใหม่ ดาช่า ซูโคว่า เมื่อ 4 ปีก่อน เขาได้ล่องเรือยอร์ชหรูเดินทางไปทั่วโลก ก่อนจะเอาเรือเข้าเทียบท่าที่เกาะเซนต์ บาร์ทส์ เพื่อจัดปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เช่นกัน แต่ในปีนี้ นายกรัฐมนตรีแห่งการ์ต้า ก็ใจตรงกับเขา และล่องเรือยอร์ชหรูไปที่เกาะเซนต์ บาร์ทส์ ในช่วงเวลาเดียวกัน กลายเป็นการโคจรมาพบกันระหว่าง บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของรัสเซีย และบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 50 ของโลก

ที่มา -
#4615
โดย...นักข่าวชายขอบ

ภายหลังบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการพลังงานโลกอย่าง บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด หรือที่มักเรียกกันว่า "เชฟรอนฯ" ประกาศการตัดสินใจยุติการลงทุนก่อสร้างศูนย์สนับสนุนการขุดเจาะปิโตรเลียมกลางอ่าวไทย โดยเฉพาะในส่วนของท่าเทียบเรือขนส่งวัสดุอุปกรณ์ และคลังเก็บวัสดุ ณ บ้านบางสาร ต.สระแก้ว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช มูลค่าหลายพันล้านบาท หลังจากที่ได้ใช้เวลาเกือบ 5 ปีในกระบวนการเพื่อเข้าสู่การก่อสร้าง และใช้งาน ท่ามกลางการคัดค้านต่อต้านจากกลุ่มนักอนุรักษ์ชายฝั่งอ่าวท่าศาลา โดยยกเอาวิถีชีวิตประมงชายฝั่งและความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวท่าศาลามาเป็นเหตุผลที่สำคัญเพื่อการปกป้อง ขณะที่ซัปพลายเออร์และนักลงทุนในภาคส่วนต่างๆ หมายมั่นปั้นมือถึงโอกาสก้าวย่างของความเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญครั้งใหญ่ของนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะการลงทุนด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หลังจากที่นครศรีธรรมราชมีภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวขับเคลื่อน


"สำหรับโครงการนี้ นอกเหนือจากอีไอเอแล้วนั้น เราพิจารณาผลกระทบจากปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ ขณะเดียวกัน มีทีมวิศวกรศึกษาผลกระทบด้านต่างๆ มาโดยตลอด สำหรับปัจจัยที่มีการหารือกันคือ เรื่องค่าก่อสร้าง เงินลงทุนต่างๆ เมื่อพิจารณาจาก 5 ปีที่แล้วมาถึงตอนนี้ มีความแตกต่างไปมากหลายเท่าตัว และปัจจัยอื่นๆ ที่ย้ายออกมาจากสงขลาคือ เรื่องความจำกัดของพื้นที่ที่มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ในส่วนนี้ การประชุมกันของผู้บริหาร และผู้ที่ถือหุ้นนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณา และหากมีการก่อสร้างต้องใช้เวลาอีกหลายปี จะไม่ทันกับการสนับสนุนในอีก 2 ปีข้างหน้า ในขณะที่โครงการแล้วเสร็จอีก 5 ปี ผู้บริหารจึงมีมติที่จะยุติโครงการชอร์เบสแห่งนี้ ซึ่งได้ทยอยแจ้งแก่ทุกฝ่ายทราบ ซึ่งเป็นการตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะไม่ดำเนินการโครงการนี้ต่อไป ส่วนฐานบินสนับสนุนนั้นยังคงมีอยู่ต่อไป"

นี่เป็นเหตุผลที่สำคัญนำไปสู่การตัดสินใจยุติโครงการของ หทัยรัตน์ อติชาติ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านรัฐกิจและกิจการสัมพันธ์ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ที่ได้แถลงอย่างเป็นทางการไปก่อนหน้านี้

หลังจากที่กระแสข่าวนี้สะพัดออกไป หลายภาคส่วนที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของนครศรีธรรมราช มีแนวคิดเห็นที่เป็นไปในทำนองเดียวกัน

บุญทวี ริเริ่มสุนทร ประธานหอการค้านครศรีธรรมราช ยอมรับว่ามันเป็นการเสียโอกาสครั้งสำคัญ โครงการนี้จะทำให้มีเงินหมุนเวียนถึงกว่า 3 หมื่นล้านบาท การจ้างงานที่ตามมาอย่างเป็นระบบ

"ผมคิดว่าความผิดพลาดอยู่ที่รัฐบาล ที่ไม่มีความชัดเจนมากพอ กลายเป็นเวลาที่หายไป โครงการเช่นนี้รัฐบาลและท้องถิ่นต้องชัดเจนถึงผลได้ ผลเสีย นำมาพิจารณา ผู้ประกอบการต้องมีความชัดเจน เป็นความบกพร่องของนโยบายส่วนหนึ่ง ทำให้นักลงทุนเสียโอกาส ส่วนข้อกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้น ผมคิดว่ายุคนี้กระบวนการทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะช่วยป้องกันได้ ถือเป็นบทเรียนของนักลงทุนที่สำคัญ ในอนาคตระยะยาวนั้นผู้ลงทุนรายใหม่จะต้องระมัดระวัง และจะต้องเพิ่มพื้นที่การสื่อสารกับชาวบ้านให้มากขึ้น ซึ่งต้องบอกว่านครศรีธรรมราชยังพร้อมต้อนรับนักลงทุน" ประธานหอการค้าจังหวัดนครศรีธรรมราชแสดงความเห็น

เช่นเดียวกับ วานิช พันธ์พิพัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมนครศรีธรรมราช บอกว่า นับว่าเป็นเรื่องเสียโอกาสสำหรับนครศรีธรรมราชมาก ที่ผ่านมา การขยายตัวของโอกาสทางเศรษฐกิจนครศรีธรรมราชมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง การจับจ่ายใช้สอย ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เข้าใจว่าการยุติโครงการนั้น อาจเป็นปันปัจจัยภายในของเชฟรอนฯ เองก็เป็นได้ ส่วนในพื้นที่เชื่อว่าที่จะรับผลกระทบหลังจากนี้คือ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่จะชะลอตัวลง

ไม่แตกต่างกับนักการธนาคารอย่าง จำนง ชูคลี่ ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลสินเชื่อรายใหญ่ ธนาคารกรุงไทย สาขานครศรีธรรมราช ระบุว่า หากบริษัทขนาดใหญ่เช่นนี้ยุติโครงการในพื้นที่ อ.ท่าศาลา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน และโอกาสทางเศรษฐกิจของพื้นที่ไปมาก ก่อนหน้านี้ เมื่อเกิดการลงทุนของเชฟรอนฯ นักลงหลายส่วนหันมาสนใจนครศรีธรรมราชมากขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ในผลกระทบนั้นยังรวมถึงอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องช็อกแน่ และที่สำคัญก่อนหน้านี้ ราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นจากปัจจัยบวกคือ ศูนย์การแพทย์และการลงทุนของเชฟรอนฯ เมื่อไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เช่นนี้ต่อไปอีกราคาประเมินที่ดินย่อมที่จะลดลงตาม

ส่วนในภาคการบริหารราชการแผ่นดิน วิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช แสดงความเห็นว่า เป็นการเสียโอกาสไปแล้ว ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ภาพรวมของจังหวัดนครศรีธรรมราชเสียประโยชน์แน่ๆ แต่ยังคงคาดหวังจากกระบวนการใช้จ่ายในส่วนของเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่จะสะพัดในพื้นที่จากศูนย์การขนส่งทางอากาศขนาดใหญ่

"ผมคิดว่ามีผลกระทบกับความเชื่อมั่น การแสดงออกของกลุ่มคัดค้านบางครั้งต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบกับบรรยากาศ และความเชื่อมั่นในการลงทุน โดยเฉพาะเรื่องพลังงานที่มีความละเอียดอ่อน ถ้าค้านจนไม่มีพลังงานใช้กันจะทำอย่างไร" เป็นความรู้สึกของผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช


ส่วนภาคประชาชนอย่าง สมศักดิ์ สลาม ประธานชมรมประมงทะเลกลาย ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่บอกว่า เศรษฐกิจโดยรวมถือว่าหยุดชะงัก ไม่มีความแน่ใจในทิศทางว่าจะไปกันทางไหน ราคาที่ดินโดยรวมซึ่งเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของการพัฒนานั้น ราคาตกวูบ ตอนนี้ที่ดินในพื้นที่ไม่มีใครสนใจที่จะซื้อกัน

"ในมุมชาวบ้านแบบผมนั้น อาจมองได้ 2 แง่ คือการเสียโอกาส หากเชฟรอนฯ มาตั้งโครงการที่นี่จะมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างน้อยสิ่งต่างๆ น่าจะดีขึ้น แต่เมื่อเชฟรอนฯ ไม่มา ชาวบ้านอยู่กัน ทำมาหากินแบบเดิมๆ มีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ" เขากล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่อีกมุมหนึ่งของ ทรงวุฒิ พัฒแก้ว จากเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา ที่ร่วมกันขับเคลื่อนคัดค้านโครงการของเชฟรอนฯ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน เขาบอกว่า เศรษฐกิจทางทะเลที่อ่าวทองคำท่าศาลา ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งความอุดมสมบูรณ์ และมีห่วงโซ่เศรษฐกิจต่อเนื่องทั่วทั้งอ่าว เป็นที่อยู่ของกุ้ง หอย ปู ปลา ประกอบกับระบบนิเวศที่เป็นทะเลโคลน ทราย น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม จากแม่น้ำหลายๆ สายไหลลงมารวมตัวกัน สัตว์น้ำจึงชุกชุม ทุกภาคส่วนในท่าศาลาจึงร่วมมือกันปกป้องอ่าวทองคำให้เป็นแหล่งผลิตอาหาร และฐานทุนของชุมชน และร่วมกันต่อต้านโครงการขนาดใหญ่ที่ลงมาในพื้นที่ เพราะต้นทุนทางทะเลที่นี่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของคนท่าศาลา และผู้คนทั้งประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางทรัพยากรที่ยั่งยืน มากกว่าที่ผลประโยชน์จะตกในมือของนายทุน

การลงทุนในยุคทุนนิยมที่อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน หลากความเห็นจากหลายฝ่าย ต่างสะท้อนถึงมิติของความคาดหวัง แต่ในความเป็นจริงโลกอยู่ในยุคของการแข่งขัน การค้า การลงทุน โอกาสมีไม่ได้หลายหลายครั้ง และถ้ามีโอกาสบนดุลยภาพทุกด้าน และทุกมิติเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว

ที่มา -
#4616
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2555 เรือบรรทุกสินค้าแบบเทกอง (Bulk carrier) ชื่อ OSM Arena พร้อมลูกเรือจำนวน 14 คน ได้ประสบเหตุเครื่องยนต์เรือขัดข้องดับลงที่บริเวณใกล้กับชายฝั่งเจนไน (Chennai coast) ประเทศอินเดีย ภายในสถาวะของคลื่นลมทะเลรุนแรงเนื่องจากพายุไซโคลนชื่อ Thane ที่มีความเร็วลม 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนเป็นผลให้เรือลอยเข้ไปติดเกยตื้นพื้นดินชายฝั่งที่จุดบริเวณช่วงระหว่างเมือง Cuddalore กับเมือง Puducherry เหตุเกิดในช่วงเช้า


บนเรือสินค้า OSM Arena มีน้ำมันเชื้อเพลิงบรรทุกอยู่ประมาณ 400 ตันและจุดที่เรือติดเกยตื้นอยู่ใกล้กับสาถนีทหารเรือ INS Adayar หนึ่งในสถานีทหารเรือทางตอนใต้ของท่าเรือเชนไนของอินเดีย ในช่วงเวลากลางคืนเรือลอยเคว้งคว้างเข้าใกล้ไปยังชายฝั่ง และทางเรือได้ทิ้งสมอเพื่อยึดให้เรืออยู่กับที่ไว้ก่อน

ท่าเรือเชนไน (Chennai Port Trust) ได้ส่งวิศวกรขึ้นไปซ่อมแซมเครื่องกว้านและเครื่องยนต์เรือสินค้า OSM Arena แล้วแม้เรือจะจอดอยู่นอกขอบเขตของท่าเรือเจนไน และทางท่าเรือได้จัดส่งเรือทักลากจูงจำนวน 2 ลำออกไปเพื่อลากจูงเรือออกไปยังทะเลลึก ซึ่งระดับน้ำด้านตรงข้ามกับสถานีทหารเรือ INS Adayar ลึกประมาณ 8 เมตรซึ่งก็เพียงพอสำหรับเรือสินค้า OSM Arena จอดทิ้งสมอได้


เรือบรรทุกสินค้าแบบเทกอง (Bulk carrier) ชื่อ OSM Arena รหัสหมายเลข IMO คือ 8411334 ขนาด 45345 dwt สร้างขึ้นเมือปี ค.ศ. 1985 จดทะเบียนชักธง South Korea ผู้จัดการเรือคือบริษัท OCEAN SUCCESS MARITIME CO LTD.

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4617
วันที่ 1 มกราคมนี้ สำนักงานบริหารกิจการทะเลและมหาสมุทรแห่งชาติจีนแถลงข่าวผ่านเว็บไซต์ว่า กองเรือสำรวจจีนเดินเข้าสู่น่านน้ำทะเลนอกปากอ่าวเป่ยปู้หลังจากได้ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนและสำรวจเป็นประจำในน่านน้ำหมู่เกาะหนานซาที่อยู่ใต้การควบคุมของจีนแล้ว เพื่อดูเลความเรียบร้อยในน่านน้ำที่จัดตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของจีนในน่านน้ำดังกล่าว


ช่วงเช้าวันที่ 1 มกราคมนี้ กองเรือดังกล่าวและเครื่องบินสำรวจทะเล บี-3843 ได้ไปถึงน่านน้ำบริเวณแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเล่อตง 22-1 ของจีนพร้อมกัน เพื่อร่วมกันดำเนินการสำรวจและถ่ายรูปแท่นและน่านน้ำบริเวณโดย รอบ

ที่มา -




จีนแจงกฎทะเลใหม่ไม่ล้ำเส้นแดนพิพาท มังกรส่งเรือพิฆาตคุมเชิงน่านน้ำเจ้าปัญหา

เอเอฟพี/รอยเตอร์— จีนแจงกฎระเบียบทางทะเลใหม่ ที่ไฟเขียวเจ้าหน้าที่ส่งเรือลาดตระเวนชายฝั่งไหหลำ มีขอบเขตปฏิบัติการจำกัดแค่บริเวณชายฝั่งแคบๆเท่านั้น เตือนคู่กรณีในศึกชิงหมู่เกาะทะเลจีนใต้อย่าคิดเกินเลยจนก่อความตึงเครียดในอาณาบริเวณ วันเดียวกัน มีรายงานข่าวเผยว่า นาวีมังกรได้ส่งเรือพิพฆาต 2 ลำ ปฏิบัติการลาดตระเวนในน่านน้ำเจ้าปัญหา

ในการแถลงข่าวประจำวันเมื่อวันจันทร์(31 ธ.ค.) กระทรวงต่างประเทศจีน โดยโฆษกหญิง หวา ชุนอิ๋ง แถลงเกี่ยวกับกฎระเบียบใหม่ที่ไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจีน ส่งเรือไปปฏิบัติในทะเลจีนใต้

จีนได้ประกาศกฎฯดังกล่าวเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา(2555) และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.นี้ กฎนี้ได้สร้างความตึงเครียดในหมู่ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมองกันว่าจีนรุกหนักขึ้นในข้อพิพาทดินแดนทะเลจีนใต้ ซึ่งหลายชาติอ้างกรรมสิทธิฯ


ในการแถลงเมื่อวันจันทร์ ดูช่วยเพลาความตึงเครียด โดยโฆษกหวา ระบุขอบเขตของกฎดังกล่าว ครอบคลุมชายฝั่งไห่หนัน (ไหหลำ)เท่านั้น และมิได้มีการเปลี่ยนแปลงใดไปจากกฎระเบียบที่รับรองเมื่อปี 2542 ที่จำกัดการบังคับใช้ภายใน 12 ไมล์ทะเลของชายฝั่งไห่หนัน

"สิ่งที่ฉันต้องการย้ำคือ กฎระเบียบนี้ ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นไห่หนันเพื่อส่งเสริมการควบคุมชายแดนบริเวณชายฝั่งและการจัดการทางทะเล มีเป้าหมายปราบปรามอาชญากรรม รักษาสันติภาพ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด เทียบกับกฎของปี 2542" หวา กล่าว

นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลจีนได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกฎระเบียบใหม่ทางทะเลฉบับนี้หลังจากที่ได้ประกาศไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว กฎฯดังกล่าวสร้างความตึงเครียดแก่เพื่อนบ้าน โดยกลุ่มการทูตชั้นนำในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ เตือนว่ากฎเหล่านี้อาจจุดชนวนการปะทะระหว่างกองทัพนาวีและทำลายเศรษฐกิจอาณาบริเวณ ขณะที่สหรัฐฯคอยจ้องเข้ามาเป็นกรรมการห้ามศึก

ทั้งนี้ จีนเผชิญปัญหาพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้ที่เชื่อกันว่าอุดมด้วยทรัพยากรแร่และน้ำมัน และโต้ตอบเพื่อนบ้านคู่กรณีอย่างแข็งกร้าวมากขึ้น ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน บรูไน และมาเลเซีย

โฆษกหวา ย้ำในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ ว่าจุดยืนรัฐบาลจีนไม่เปลี่ยนแปลง และต้องการแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจา และหวังว่าทุกฝ่ายจะกำหนดทัศนะที่เป็นธรรม สร้างสรรค์ ตลอดจนมีเจตคติที่ดีในการตีความกฎใหม่นี้

นาวีมังกรส่งเรือพิฆาต ลาดตระเวนในน่านน้ำพิพาท
จีนส่งเรือพิฆาต 2 ลำ และเรือของนาวีอีก 8 ลำ เสริมความแข็งแกร่งแก่ปฏิบัติการลาดตระเวนทางทะเล และเพิ่มพลังงัดข้อกับคู่กรณีญี่ปุ่นและชาติเพื่อนบ้านอื่นๆในศึกพิพาทดินแดนในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ทั้งนี้เป็นรายงานข่าวของสำนักข่าวเอเอฟพีอ้างแหล่งข่าวเว็บท่ารายใหญ่ของจีน เทนเซน (Tencent)

"จีนได้ปรับปรุงเรือจำนวนหนึ่ง และส่งเรือเหล่านี้ ไปปฏิบัติการลาดตระเวน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฝูงเรือปกป้องผลประโยชน์ทางทะเล" รายงานข่าวในเทนเซน ระบุ

ขณะนี้ จีนโรมรันศึกพิพาทเหนือดินแดนในทะเลจีนตะวันออกกับญี่ปุ่น ได้แก่ การอ้างกรรมสิทธิเหนือหมู่เกาะที่ฝ่ายจีนเรียก เตี้ยวอี๋ว์ ฝ่ายญี่ปุนเรียกเซนกากุ อีกทั้งศึกพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้กับหมู่เพื่อนบ้าน ที่ต่างอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะสแปตรีย์ ที่เชื่อกันว่าอุดมด้วยทรัพยากรแร่และน้ำมัน

ยามฝั่งญี่ปุนรายงานสถานการณ์เผชิญหน้าในทะเลล่าสุด ระบุจีนได้แสดงท่าทีประกาศว่า จีนสามารถเข้า-ออกบริเวณน่านน้ำพิพาทได้ตามใจปรารถนา และเมื่อวันจันทร์(31 ม.ค.) ก็พบเรือนาวีจีน 3 ลำ ป้วนเปี้ยนรอบหมู่เกาะ

จากข้อมูลของ sinodefence.com เว็บไซต์อิสระในสหราชอาณาจักร ระบุว่า เรือ 2 ลำ ของจีนที่ได้ปรับปรุงใหม่ เป็นเรือพิฆาต ลำหนึ่งไปปฏิบัติการในทะเลจีนใต้ อีกลำปฏิบัติการในทะเลจีนตะวันออก เรือพฆาต ลำหนึ่งชื่อ หนันจิง อีกลำชื่อ หนันหนิง หมายเลข 131 และ 162 ตามลำดับ แต่ละลำมีระวางวิดน้ำ 3,250 ตัน อัตราเร็วสูงสุด 32 น๊อต นอกจากนี้ ระหว่างประจำการในนาวี เรือพิฆาต 2 ลำนี้ สามารถติดตั้งปืนขนาด 130 มม. พิสัยยิง 29 กม. ตลอดจนขีปนาวุธต่อต้านเรือและอาวุธอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่ชัดแจ้งว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฝูงเรือปฏบัติการลาดตระเวน มีเรือพิฆาตร่วมในกอง หรือมีการส่งเข้ามาเมื่อไหร่

กระทรวงต่างประเทศจีนก็ไม่ยอมตอบคำถามเมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับเรือพิฆาตที่เข้าปฏิบัติการในฝูงเรือลาดตระเวนดังกล่าว.

ที่มา -

#4618
"พงษ์ศักดิ์"เบรกสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่21 สั่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ทบทวนข้อมูลใหม่


นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติไปศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการออกสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่21 ใหม่ โดยให้นำข้อมูลของการออกสัมปทานรอบที่18,19,20 มาพิจารณาเปรียบเทียบว่า แต่ละรายที่ยื่นขอรับสัมปทานมานั้นประสบความสำเร็จในการขุดพบปิโตรเลียมและสามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์กี่ราย และล้มเหลวกี่ราย ซึ่งจากการรับรายงานทางวาจาจากอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติพบว่า มีในแต่ละรอบที่ผ่านมามีผู้ที่ประสบความสำเร็จเพียง1-2รายเท่านั้น

ดังนั้น การที่จะออกสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่21 ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพื้นที่ที่เคยให้สัมปทานไปแล้วแต่ครบระยะเวลาที่ให้สำรวจแล้วนำมาปรับปรุงแปลงสัมปทานใหม่ จึงควรจะมีการดำเนินการให้เกิดความน่าสนใจ มากกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งจะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ทีจะให้สัมปทานให้ทั่วถึงเสียก่อน จึงจะมีการพิจารณาอนุมัติให้ออกสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ได้

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวถึงการบริหารจัดการสัมปทานในแหล่งเอราวัณ ของกลุ่มเชฟรอน และ แหล่งบงกช ของบริษัทปตท.สผ. ซึ่งถูกต่ออายุไปอีก10ปีในสมัยที่นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยว่า พรบ.ปิโตรเลียม ฉบับปัจจุบัน ให้มีการต่ออายุสัมปทานได้เพียงครั้งเดียว จึงต้องมีการเสนอที่จะแก้ไขกฏหมายที่จะต่ออายุสัมปทาน หรือออกสัมปทานให้กับรายเดิมได้ เนื่องจาก รัฐจะได้ผลประโยชน์มากกว่า การเปิดสัมปทานให้รายอื่นเข้ามารับสัมปทานแทนที่จะต้องมีการลงทุนแท่นผลิตหรือวางท่อก๊าซธรรมชาติใหม่ เพียงแต่ว่า เอกชนผู้รับสัมปทานรายเดิมจะต้องเสนอผลตอบแทนให้กับรัฐในระดับที่เหมาะสม ซึ่งยังมีเวลาที่จะเจรจาต่อรองผลประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชน รวมถึงขั้นตอนที่จะเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อร่างกฏหมาย ที่จะมีการแก้ไข

ในขณะที่เรื่องของการเจรจาผลประโยชน์ด้านปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา นั้น นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องถามประชาชนว่าอยากใช้ก๊าซราคาถูกหรือราคาแพง ถ้าอยากใช้ก๊าซธรรมชาติราคาถูกก็สนับสนุนให้มีการเดินหน้าเจรจา แต่ถ้าอยากใช้ก๊าซในราคาแพง ปตท.ก็สามารถที่จะนำเข้าLNG มาทดแทนก๊าซในอ่าวไทยที่จะหมดลงในอนาคตได้อยู่แล้ว โดยตัวเขาเองจะไม่เร่งรัดการเดินหน้าเจรจาในเรื่องนี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเตรียมแผนที่จะให้มีการประกาศสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่21 ให้ได้ตั้งแต่กลางปี2555 แล้ว ซึ่งรัฐมนตรีพลังงานในช่วงนั้นทั้ง นายพิชัย นริพทะพันธ์,นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ ก็ยังไม่ได้พิจารณาอนุมัติ ในขณะที่ล่าสุดนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ตีกลับเรื่องให้ไปพิจารณาให้รอบคอบ อีกรอบ รวมทั้งเรื่องดังกล่าวยังถูกคณะกรรมาธิการพลังงาน วุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตในอีกหลายประเด็นโดยเฉพาะเรื่องผลตอบแทนที่รัฐควรจะได้รับ ถูกมองว่าน้อยเกินไปและประชาชนยังไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ

ที่มา -
#4619
จีน 2 ม.ค.- การทำประมงและการเดินเรือในน่านน้ำแถบชายฝั่งตะวันออกของจีนกำลังประสบปัญหา เนื่องจากน้ำในทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง


สภาพอากาศหนาวเย็นจัดที่แผ่ปกคลุมจีนมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้น้ำทะเลนอกชายฝั่งในอ่าวไหลโจวมณฑลชานตง ทางตะวันออกของจีน กลายสภาพเป็นน้ำแข็ง ที่ยิ่งแผ่วงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขณะนี้กินพื้นที่ยาวนับ 10 กิโลเมตร แผ่นน้ำแข็งมีความหนาถึง 10 เซนติเมตร ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมของผู้คนในแถบดังกล่าว ทั้งธุรกิจการจับปลาและการเดินเรือ เนื่องจากแผ่นน้ำแข็งปกคลุมผืนน้ำเป็นบริเวณกว้าง


นอกจากนี้ ยังสร้างความเสียหายให้ฟาร์มเลี้ยงหอยเชลล์มูลค่ามหาศาล เนื่องจากผู้เลี้ยงไม่สามารถเก็บหอยในฟาร์มที่มีมากเกือบ 40,000 กระชังใต้น้ำได้

ที่มา -
#4620
ในช่วงเช้าวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 ระหว่างวันที่เรือหลวงธนบุรี จอดรักษาการณ์อยู่ที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ได้เกิดการรบทางเรือขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย


โดยกองเรือรบของฝรั่งเศสที่ประกอบด้วยเรือรบขนาดใหญ่จำนวน 5 ลำ มีเรือลาดตระเวน ลามอตต์ปิเกต์ (Lamotte picquet) ระวางขับน้ำ 7,880 ตัน เรือสลุป 2 ลำ คือ เรือดูมองต์ ดูร์วิลล์ (Dumont.'durville) ระวาง ขับน้ำ 2,000 ตัน และ เรืออามิราล ชาร์เนอร์ (Amiral Charner) ระวางขับน้ำ 2,000 ตัน เรือปืน 2 ลำ คือ เรือตาอูร์ (Tahure) ระวางขับน้ำ 600 ตัน และเรือมาร์น (Marne) ระวางขับน้ำ 700 ตัน เรือเหล่านี้ได้แยกออกเป็น 3 หมู่ หมู่ที่ 1 มีเรือลามอตต์ปิเกต์ ลำเดียว เข้ามาทางช่องด้านใต้เกาะหวาย และเกาะใบตั้ง หมู่ที่ 2 มีเรือดูมองต์ ดูร์วิลล์ กับเรืออามิราล เข้ามาทางช่องด้านใต้ระหว่างเกาะคลุ้มกับเกาะหวาย หมู่ที่ 3 มีเรือตาอูร์ กับเรือมาร์น เข้ามาทางช่องด้านตะวันตกระหว่างเกาะคลุ้มกับแหลมบางเบ้าของเกาะช้าง ได้ลักลอบเข้ามาโจมตีกำลังเรือฝ่ายไทยที่เข้าทำการรบมี 3 ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี ซึ่งเรือรบทั้ง 3 ลำ ของไทยมีกำลังน้อยกว่าเรือลามอตต์ปิเกต์ มาก

ขณะที่ นาวาโทหลวง พร้อม วีรพันธ์ ผู้บังคับการเรือในสมัยนั้น ได้สั่งให้เรือตั้งลำพร้อมทันทีที่เรือลามอตต์ปิเกต์โผล่จากเกาะไม้ซี้ใหญ่ การสู้รบระหว่างเรือรบไทย และเรือรบฝรั่งเศส ได้เกิดขึ้นโดยฝรั่งเศสเป็นฝ่ายยิงก่อน กระสุนของเรือลามอตต์ปิเกต์นัดหนึ่งเจาะทะลุฝาห้องโถงนายพล และชนวนระเบิดทะลุพื้นหอรบขึ้นมา เป็นเหตุให้ นาวาโทหลวง พร้อม วีรพันธ์ และทหารเรือในหอรบหลายนายต้องเสียชีวิต รวมทั้งบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เรือลามอตต์ปิเกต์ ก็ได้ถูกกระสุนปืนจากเรือหลวงธนบุรี เช่นกัน เพราะมีแสงจากเปลวระเบิดและควันเพลิงพุ่งขึ้นบริเวณตอนกลางลำ แล้วล่าถอยไปรวมกับหมู่เรือฝรั่งเศส ก่อนแล่นหนีไปได้ในที่สุด

สำหรับเรือหลวงธนบุรี ที่ไฟลุกท่วมในช่องทางเดินเรือ กัปตันเรือได้พาเรือมาทางแหลมงอบ เรือได้เอียงทางกราบขวา และต่อมาก็หยุดแล่น เรือหลวงช้าง ได้เข้าไปช่วยดับไฟและจูงเรือหลวงธนบุรีไปจนถึงหน้าแหลมงอบ จากนั้นกัปตันเรือได้สั่งสละเรือและปล่อยให้เรือหลวงธนบุรีจมลงสู่ท้องทะเลในที่สุด การรบในครั้งนั้นทำให้ทหารฝ่ายไทยเสียชีวิตจำนวน 36 นาย เป็นนายทหาร 2 นาย พันจ่า จ่าพลทหาร และพลเรือ จำนวน 34 นาย ส่วนจำนวนทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บของฝ่ายข้าศึกนั้น ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน นับจากเกิดการสู้รบที่เกาะช้าง จนกระทั่งวันลงนามในสัญญาสันติภาพ ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2484 ที่กรุงโตเกียว ปรากฏว่าไม่มีเรือรบของข้าศึกเข้ามาในอ่าวไทยอีกเลย การรบทางเรือที่เกาะช้างในครั้งนั้น นับเป็นเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ทหารหาญของไทยแม้จะมีกำลังเพียงน้อยนิด แต่ก็ได้ใช้พลังความสามารถ ความสามัคคี ความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญปกป้องอธิปไตยของชาติไว้ได้ นับเป็นเกียรติประวัติที่อนุชนรุ่นหลังควรที่จะระลึกถึงและจดจำตลอดไป

ดังนั้น เพื่อเป็นการเชิดชูวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง กองทัพเรือจึงได้ร่วมกับจังหวัดตราด จัดสร้างอนุสรณ์สถานยุทธนาวี ที่เกาะช้างขึ้นในพื้นที่หมู่ 1 ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างจำนวน 41 ล้านบาท ซึ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2536 นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้มีการจัดงานเพื่อสดุดีและยกย่องวีรชนทหารเรือไทยที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินเมืองตราดและชาติไทยไว้ได้จนถึงทุกวันนี้ โดยใช้ชื่องานว่า "วันวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง" สำหรับในปี 2556 นี้ กองทัพเรือได้ร่วมกับจังหวัด และชาวตราด กำหนดให้มีการจัดงานดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 17–21 มกราคม 2556 ณ บริเวณอนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง หมู่ที่ 1 ตำบลแหลมงอบ ซึ่งถือเป็นปีที่ 27 ของการจัดงาน


นางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด กล่าวว่า กิจกรรมภายในงาน "วันวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง ประจำปี 2556" นี้ ประกอบด้วย พิธีทำบุญตักบาตรเพื่ออุทิศแด่ดวงวิญญาณทหารกล้าทุกนายที่เสียชีวิต ในช่วงเช้าของวันที่ 17 มกราคม 2556 หลังจากนั้นจะเป็นพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณของ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ โดยมีผู้บัญชาการกองทัพเรือ หรือผู้แทนมาเป็นประธานในพิธีลอยพวงมาลา ณ เกาะลิ่ม ซึ่งจะมีประชาชนทั่วไปสนใจเข้าร่วมในพิธีลอยพวงมาลาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ การแสดงดนตรีจากกองทัพเรือ การออกร้านนาวาพาโชค นิทรรศการจากหน่วยงานต่าง ๆ การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน และมหรสพอื่น ๆ อีกมากมาย จึงขอเชิญทุกท่านร่วมงาน "วันวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง" จังหวัดตราดผู้ว่าราชการจังหวัดตราด กล่าวอีกว่า นอกจากจะมาเที่ยวชมงานแล้ว จังหวัดตราด ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม อาทิ เกาะแก่งต่าง ๆ ที่มีมากมายถึง 66 เกาะ วัดวาอารามที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาทิ วัดบุปผาราม ที่มีโบราณสถาน โบราณวัตถุที่เก่าแก่มากมาย วัดเขาโต๊ะโมะ ที่มีการผุดของแท่งหินจำนวนหลายชิ้นด้วยกัน เมื่อเคาะจะมีเสียงเหมือนเสียงดนตรี ซึ่งเกิดขึ้นตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่สำหรับนักดำน้ำ คือ ประติมากรรมใต้ทะเลที่เกาะหมาก และดำน้ำชมเรือหลวงช้าง ที่เกาะช้าง ซึ่งรับรองว่ามาเที่ยวจังหวัดตราดในครั้งนี้ ท่านจะได้ทั้งความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย และการท่องเที่ยวที่ประทับใจกลับไปอย่างแน่นอน.

ที่มา -