ข่าว:

ห้ามโพสโฆษณา อาหาร ยา และเครื่องสำอางค์ รวมถึงสมุนไพรทุกชนิด ไม่ว่าจะมี อย. หรือไม่  เด็ดขาด หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที

Main Menu

BCP ลงทุน 5.7 พันลบ.ขยายโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เฟส 3 คาดเสร็จ Q4/57

เริ่มโดย mrtnews, พ.ค 08, 13, 23:36:20 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมแผนงานโครงการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Sunny Bangchak)เฟส 3 กำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ ลงทุนกว่า 5,700 ล้านบาท แหล่งเงินทุนคาดว่าจะมาจากการออกหุ้นกู้หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และบางส่วนมาจากกระแสเงินสดบริษัท


ทั้งนี้ คาดอีก 2 เดือนข้างหน้าจะมีการคัดเลือกผู้รับเหมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และจะติดตั้งเสร็จภายในไตรมาส 4/57 เริ่มรับรู้ในปี 58 ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ จำนวน 2,800 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลและหาสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลที่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ และมองหาพันธมิตรที่สนใจในการเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทฯ ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลาตั้งแต่การศึกษาจนถึงการสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่แล้วเสร็จประมาณ 7-8 ปี สอดคล้องกับเวลาที่ประเทศไทยต้องการมีโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 1 โรง

"การที่เรามีการวางแผนสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่ขึ้นมา โดยขนาดการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่อยู่ในระดับขั้นต่ำที่ 300,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อเป็นการรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นน้ำเบนซินหรือดีเซล โดยในปี 56 ปริมาณการเติบโตของน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% คาดว่าภายในปี 2018-2020 จำเป็นต้องมีโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองต่ออุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นได้ ทำให้ต้องมีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 1 โรงในประเทศไทย"นายวิเชียร กล่าว

ทั้งนี้ โรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่จะมีปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ประกอบอยู่ด้วย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ

สำหรับเงินประกันภัยจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงกลั่น จนถึงขณะนี้บริษัทได้รับเงินชดเชยจากความเสียหายอุปกรณ์บางส่วนไปแล้ว 600 ล้านบาท ซึ่งบันทึกในไตรมาส 4/55 และยังเหลือจ่ายค่าชดเชยความเสียหายอุปกรณ์อีกประมาณ 100-200 ล้านบาท ส่วนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจในการดำเนินธุรกิจ(Business Interruption)ยังไม่ได้รับการชำระ ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจา  คาดว่าจะได้รับชดใช้ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาทน่าจะบันทึกได้ในไตรมาส 1/56

ส่วนแผนการเพิ่มสถานีจำหน่ายน้ำมันในปี 56 ตั้งเป้าเพิ่มอีก 50 แห่ง จากแผนระยาวที่จะขยายเพิ่มขึ้นให้ได้ถึง 150 สถานีในปี 58 และจะมีการปรับปรุงภาพลักษณ์ของสถานีจำหน่ายน้ำมันมากกว่า 120 สถานี ให้ครอบคลุมถนนสายหลักทั้งหมด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสามารถเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น ซึ่งบริษัทฯตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดปีของสถานีจำหน่ายน้ำมันในปี 58 เป็นเบอร์ 2 ในธุรกิจนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯยังมีแผนเพิ่มสถานีบริการจำหน่าย E20 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในไตรมาส 1/56 และจะเพิ่มสถานีบริการจำหน่าย E85 ไม่น้อยกว่า 100 สถานีภายในสิ้นปี56 ซึ่งปัจจุบันมีสถานีจำหน่าย E85 ทั้งหมด 51 สถานี ซึ่งการขยายสถานีบริการจำหน่าย E20 และ E85 เพิ่มขึ้นในครั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับความต้องการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มมากขึ้น และรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ผลิตออกมารองรับการใช้ E20 และ E85 มากขึ้น

ขณะเดียวกัน คาดว่าทุกสถานีบริการน้ำมันของบางจากจะสามารถขายน้ำมันเบนซิน91ได้หมดภายในเดือน ม.ค.นี้ และไม่มีสต็อกเหลือ โดยบริษัทฯได้หยุดการผลิตน้ำมันเบนซิน 91 ไปตั้งแต่ 31 ธ.ค.55 ส่วนที่ยังมีขายอยู่บ้างเป็นน้ำมันที่อยู่ในคลังของสถานีบริการแต่ละแห่ง อีกทั้งบริษัทฯจะไม่นำเบนซิน 95 กลับมาจำหน่ายอีก เนื่องจากมีส่วนผสมของสาร MTBE ที่ต้องนำเข้าและก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนการขยายการลงทุนในสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันในอาเซียนเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 บริษัทฯมีความพยายามในการหาพันธมิตรในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันตามแผนในช่วง 2-3 ปี ที่ตั้งเป้าขยายการลงทุนในสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันไม่น้อยกว่า 10 สถานีรวมกัน ในลาว พม่า และเขมร เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ และทำให้บริษัทฯเป็นที่รู้จักมากขึ้นใน AEC ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุนในแต่ละประเทศว่าแบบใดจะมีความคุ้มค่ามากที่สุด ขณะนี้บริษัทฯมีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเปิดในเมืองเมียวดีของพม่า 1 แห่ง

ด้านธุรกิจ Non-Oil หลักๆมาจากความร่วมมือกับ BigC ในการเปิดร้าน mini BigC ในสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของบางจาก โดยปัจจุบันมีmini BigC เพียง 7 แห่ง และจะขยายเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 100 แห่งในภายในกลางปี 57 ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาแผนงานกับทาง BigC ว่าการรูปแบบการลงทุนขยาย mini BigC จะเป็นอย่างไร ซึ่งปัจจุบันการลงทุนเป็นการที่ BigC เข้ามาลงทุนเองในสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทฯ และผลประโยชน์แบ่งสัดส่วนกันตามยอดขาย

ส่วนร้านใบจากอาจจะมีการปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น mini BigC โดยบริษัทฯได้มีการพูดคุยกับทางBigC ถึงความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้าน และพิจารณาความสามารถในการเพิ่มยอดขายของการเปลี่ยนรูปแบบร้าน ถ้าสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นก็สามารถเปลี่ยนได้ทันที ขณะนี้ร้านใบจากมีจำนวน 200 แห่ง ส่วนร้านกาแฟ Inthanin Coffee วางแผนเปิดเพิ่มให้ครบ 500 ร้านภายในปี 58 จาก 250 ร้าน

*ทำประกันความเสี่ยง 30%

นายวิเชียร กล่าวว่า ผลกระทบของค่าเงินบาทแข็งในช่วงต้นปีนั้น ค่าการกลั่นจะได้รับผลกระทบมาก ซึ่งเมื่อเวลาดูผลกำไรเป็นเงินบาทต้องมีการคิดค่าเงินตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาปัจจุบัน ซึ่งบริษัทฯได้มีการทำประกันความเสี่ยงของค่าการกลั่นไว้ในระดับหนึ่งที่ 30% ของค่าการกลั่น (GRM) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งทำอยู่ที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นจะมีผลต่อค่าการกลั่นในทุกๆโรงกลั่นน้ำมัน ขึ้นอยู่กับการบริหารความเสี่ยง

ส่วนหนี้ที่เป็นเงินบาทของบริษัทฯก็ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากบริษัทฯมีการเก็บสต็อกน้ำมันโดยการซื้ออยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งบริษัทฯมีการแปลงหนี้ที่เป็นเงินบาทบางส่วนให้เป็นดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับมูลค่าสต็อกของบริษัทฯ เมื่อเงินบาทมีความผันผวนก็จะไม่ได้รับผลกระทบ โดยมูลค่าสต็อกน้ำมันของบริษัทฯอยู่ที่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี มองในแง่ของการนำเข้าน้ำมันเป็นผลดี เนื่องจากทำให้การนำเข้ามีราคาถูกลง โดยราคาน้ำมันมีการปรับลดลงทุกๆ 1 บาทต่อดอลาร์สหรัฐฯ เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ปัจจุบันราคาน้ำมันขายปลีกอยู่ที่ 0.80 บาทต่อลิตร ซึ่งตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่ราคาเฉลี่ยมีการปรับลดลง ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปลดลงไม่แตกต่างกันมากนัก โดยจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 55

นายวิเชียร คาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่ออิงกับราคาน้ำมันดิบที่ดูไบว่า ปี 56 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะมีความผันผวนไม่มากนัก โดยราคาเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ในระดับ 105 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากปี 55 เฉลี่ยอยู่ที่ 109 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้จะผันผวนอยู่ที่ 90-115 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบผันผวนไม่มากนักมาจากการเจริญเติบโตในประเทศจีนและอินเดียที่ส่งสัญญาณการเติบโตสูงขึ้น อีกทั้งในสหรัฐฯเองหลังจากผ่านวิกฤตหน้าผาการคลังมาส่วนหนึ่งแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หมด ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก แต่ที่เป็นปัจจัยหลักมาจากการที่สหรัฐฯมีการขุดค้นพบแหล่ง Shale oil และ Shale Gas ในระดับที่ค่อนข้างสูงทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในตลาดโลกมีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่ง OPEC ต้องมีนโยบายลดการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับดีมานด์ในตลาดโลก แต่เชื่อว่าทาง OPEC มีราคาเป้าหมายอยู่แล้ว ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยมาจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน แอลจีเรีย ซูดาน

ที่มา -