ข่าว:

ห้ามโพสโฆษณา อาหาร ยา และเครื่องสำอางค์ รวมถึงสมุนไพรทุกชนิด ไม่ว่าจะมี อย. หรือไม่  เด็ดขาด หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - mrtnews

#4591
กระทรวงความมั่นคงภายในประเทศของสหรัฐ จ่อทบทวนโครงการขุดเจาะน้ำมันบริเวณอาร์กติกที่ดำเนินการโดยบ.รอยัล ดัทช์ เชลล์


เพื่อประเมินความเสี่ยงที่เชลล์ต้องเผชิญ และยังช่วยวางแนวทางในอนาคตสำหรับการเปิดสัมปทานขุดหาน้ำมันบริเวณขั้วโลก

ประกาศของกระทรวงความมั่นคงภายในประเทศของสหรัฐ มีขึ้นหลังจากหนึ่งในแท่นขุดเจาะของเชลล์นอกชายฝั่งอลาสก้าจมลงสู่ท้องทะเลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นอุบัติเหตุครั้งล่าสุดของเชลล์ในขณะที่ผู้สำรวจและขุดเจาะน้ำมันจากเนเธอร์แลนด์รายนี้ มีแผนสำรวจหาน้ำมันแถบอาร์กติก

กระนั้น กระทรวงความมั่นคงสหรัฐ มองเห็นความสำคัญว่า โครงการสำรวจของเซลล์จะช่วยทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่า แหล่งพลังงานของสหรัฐมีปริมาณแท้จริงเท่าไร ขณะเดียวกัน กระทรวงฯก็ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมแถบมหาสมุทรอาร์กติกที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอย่างยิ่ง


ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเพื่อให้สัมปทาน หรือเลื่อนการเปิดสัมปทานออกไปอาจส่งผลกระทบต่อแผนการขุดเจาะของเชลล์ในปี2556 เนื่องจากช่วงฤดูร้อนของซีกโลกเหนือกำลังสิ้นสุดลงทำให้เวลาสำรวจของเชลล์เหลือน้อย เนื่องจากหลังจากนี้ไปสภาพอากาศจะไม่เอื้อต่อการสำรวจ และเป็นฤดูกาลที่ผู้ดูแลกฎระเบียบของสหรัฐเปิดให้สำรวจได้

นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เชลล์ได้ทุ่มเงินจำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำมันสำรองบริเวณมหาสมุทรอาร์กติก แต่ต้องเผชิญกับการคัดค้าอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และชาวพื้นเมือง รวมถึงอุปกสรรคด้านกฎระเบียบ และอุปสรรคด้านเทคนิคด้วย

ที่มา -
#4592
เอเอฟพี - ญี่ปุ่นวางแผนเพิ่มงบประมาณพิเศษ 180,500 ล้านเยน (ประมาณ2,100 ล้านดอลลาร์) เพื่อจัดซื้ออาวุธทันสมัยจำพวกขีปนาวุธ เครื่องบินขับไล่ และเฮลิคอปเตอร์ มาเสริมสมรรถนะในการป้องกันประเทศ ขณะที่มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีน


งบประมาณพิเศษนี้ซึ่งจะมีการอัดฉีดเข้ามาในระยะเวลา 2-3 เดือนข้างหน้า จะเป็นการเพิ่มเติมจากงบประมาณกลาโหมปกติสำหรับปีงบประมาณ 2012 (เม.ย.2012-มี.ค.2013) อีกทั้งเป็นเรื่องแยกต่างหากจากการที่พวกผู้วางนโยบายของรัฐบาลออกมาเรียกร้องในวันอังคาร( 8 ) ให้เพิ่มค่าใช้จ่ายทางการทหารในปีงบประมาณหน้า (เม.ย.2013-มี.ค.2014)

โฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันพุธ (9) ว่า กระทรวงจะขอให้จัดสรรเงินเป็นจำนวน 180,500 ล้านเยนจากแพกเกจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลใหม่ที่มีพรรคลิเบอรัล เดโมเครติก ปาร์ตี้ (แอลดีพี) เป็นแกนนำ กำลังจัดทำกันอยู่ โดยเงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในการจัดซื้อระบบต่อต้านขีปนาวุธจากพื้นดินสู่อวกาศแบบ PAC-3 และ เครื่องบินขับไล่ F-15 แบบที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยเพิ่มขึ้นแล้วเป็นจำนวน 4 ลำ

ตามกระบวนการแล้ว คำขอของกระทรวงกลาโหมนี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงคลังเสียก่อน จึงจะได้รับการบรรจุรวมเอาไว้ในแพกเกจมาตรการกระตุ้นซึ่งรัฐบาลเตรียมประกาศกันในปลายเดือนนี้ โดยที่มีรายงานว่า แพกเกจนี้จะมีมูลค่า 13.1 ล้านล้านเยนและกำหนดให้ใช้จ่ายสำหรับสำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคมปีนี้

แพกเกจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณเพิ่มเติมที่รัฐบาลกำลังจัดเตรียมสำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน ทั้งนี้คาดหมายกันว่า นอกเหนือจากในส่วน 180,500 ล้านเยน ของแพกเกจมาตรการกระตุ้น แล้ว ในงบประมาณเพิ่มเติมนี้ก็จะมีการจัดสรรเพิ่มให้กระทรวงกลาโหมอีกราว 30,000 ล้านเยนด้วย

การเปิดเผยข่าวในวันพุธดังกล่าวนี้ มีขึ้น 1 วันหลังจากที่พรรคแอลดีพี ของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ประกาศว่า ญี่ปุ่นจะเพิ่มการงบรายจ่ายทางการทหารในปีงบประมาณหน้า ซึ่งถือเป็นการเพิ่มครั้งแรกในรอบ 11 ปี

ปัจจุบัน การที่ญี่ปุ่นเกิดการเผชิญหน้ากับจีนกำลังกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว นับแต่ที่โตเกียวตัดสินใจซื้อหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ที่เป็นกรณีพิพาทด้านอธิปไตยอยู่กับจีนจากเอกชนชาวญี่ปุ่นผู้ถือกรรมสิทธิ์เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยที่ปักกิ่งได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อความเคลื่อนไหวคราวนี้ด้วยความขุ่นเคืองยิ่ง รวมทั้งประชาชนตามเมืองต่างๆ ทั่วแดนมังกรได้จัดการชุมนุมเดินขบวนต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งในบางจุดได้บานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรง ทั้งนี้ผู้สังเกตการณ์บางคนเชื่อว่า การประท้วงเช่นนี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้รับการหนุนหลังในทางเทคนิคจากทางการจีน

นับจากนั้น แดนมังกรยังได้ส่งเรือของทางการ แม้จะไม่ถึงระดับเป็นเรือรบ เข้าสู่บริเวณน่านน้ำใกล้หมู่เกาะพิพาทนี้ซึ่งญี่ปุ่นเรียกขานว่าเซงกากุและจีนใช้ชื่อว่าเตี้ยวอี๋ว์ เป็นระยะๆ เรื่อยมารวมหลายสิบครั้งแล้ว โดยครั้งล่าสุดคือเมื่อวันจันทร์ (7) ซึ่งทำให้กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นตัดสินใจเรียกเอกอัครราชทูตจีนเข้าพบเพื่อประท้วง นอกจากนั้นในปีที่แล้ว ปักกิ่งยังเคยส่งเครื่องบินรุกล้ำน่านฟ้าแดนอาทิตย์อุทัยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

โฆษกกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นแจกแจงว่า จากงบประมาณพิเศษ 180,500 ล้านเยน กระทรวงมีแผนใช้ราว 60,500 ล้านเยนเพื่อเตรียมการรับมือกับภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงรอบๆ ญี่ปุ่นซึ่งกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง ส่วนที่เหลือคาดว่าจะนำไปใช้ในการปรับปรุงยกระดับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เดิมให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อรับมือสถานการณ์ที่ตึงเครียดขึ้นจากการที่เกาหลีเหนือเพิ่งทดสอบยิงจรวดสองครั้งในปีที่ผ่านมา ตลอดจนถึงความสัมพันธ์ที่ปีนเกลียวกับจีน

เขาระบุว่า กระทรวงกลาโหมต้องการซื้อเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวน SH-60K 3 ลำ และเพิ่มระบบขีปนาวุธพิสัยกลางอีก 1 ชุด

ทางด้าน ซังเกอิ ชิมบุงหนังสือพิมพ์แนวอนุรักษนิยม รายงานเมื่อวันพุธว่า จีนได้ส่งเครื่องบินทหารเฉียดใกล้พรมแดนญี่ปุ่นบ่อยครั้งขึ้นนับจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นซื้อหมู่เกาะเซงกากุ และกองทัพอากาศญี่ปุ่นได้ส่งเครื่องบินขึ้นไปสกัดหลายครั้งหลายหนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดคือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะนี้ทางกระทรวงได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการยิงเตือน ซึ่งในประเด็นหลังนั้น โฆษกกระทรวงกลาโหมตั้งข้อสังเกตว่า มีน้อยครั้งมากที่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นยิงเตือนกองกำลังต่างชาติ

ที่มา -




ญี่ปุ่นเตรียมดันงบประมาณกองทัพ 6 หมื่นล้าน ครั้งแรกในรอบ 10 ปี

กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นเปิดเผยว่ามีแผนที่จะจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กองทัพ เพียงวันเดียวหลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณให้กองทัพเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี


กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นมีแผนจะจัดสรรงบประมาณให้กองทัพกว่า 1.805 แสนล้านเยน (ราว 63,175 ล้านบาท) เจ้าหน้าที่เผยว่าส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์สกัดขีปนาวุธจากพื้นดินสู่อากาศ PAC-3 และเครื่องบินขับไล่ไอพ่น F-15 ที่จำเป็นต้องมีการเตรียมการท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงรอบญี่ปุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากที่เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการส่งจรวดพิสัยไกลเมื่อเดือนก่อน

โฆษกกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น เผยว่ากระทรวงกลาโหมจะของบประมาณจำนวนดังกล่าวจากแผนงบประมาณการกระตุ้นเศรษฐกิจฉุกเฉิน เพื่อใช้ในกิจการกองทัพ และเพิ่มศักยภาพในการป้องกันประเทศ ตามความประสงค์ของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ นับเป็นการเพิ่มงบด้านการป้องกันประเทศของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี

โดยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา งบประมาณด้านการทหารของญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่อง  แต่ในช่วงหลายเดือนมานี้ สถานการณ์ความมั่นคงของประเทศตกอยู่ในสภาพสั่นคลอนอย่างหนัก ทั้งจากความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลของเกาหลีเหนือเมื่อเดือนธันวาคม ซึ่งมีพิสัยการยิงผ่านตอนใต้ของญี่ปุ่น อีกทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดกับจีนในข้อพิพาทหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก

ที่มา -

#4593
มีการขุดค้นพบซากฟอสซิลของปลายักษ์อายุประมาณ 250 ล้านปีก่อนในพื้นที่ของรัฐเนวาดาปัจจุบัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเล นักวิทยาศาสตร์ระบุเขี้ยวแหลมดุจมีดยาว 5 นิ้ว และดุร้ายจนสามารถกินสัตว์ขนาดตัวเท่ากับมันได้อย่างสบาย


นิตยสารออนไลน์ Proceeding of the National Academy of Science เปิดเผยว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ขุดพบซากฟอสซิลความยาว 8.6 เมตร มีอายุอยู่บนโลกนี้เมื่อ 244 ล้านปีก่อน ในเทือกเขาหินห่างไหลของรัฐเนวาดาตอนกลาง สหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยเป็นมหาสมุทรสุดเวิ้งว้างมาก่อน เชื่อว่าเป็นสัตว์นักล่าระดับสูงสุดในระบบห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร

ทีมที่ขุดค้นให้ชื่อยักษ์น้ำเค็มโบราณนี้ว่า Thalattoarchon saurophagis ซึ่งแปลความหมายได้เป็น "ราชาแห่งท้องทะเลผู้กินสัตว์เลื้อยคลานเป็นอาหาร" เป็นผู้เกิดก่อน ichthyosaurs หรือกิ่งกาปลาอิกธิโอซอรัส ที่ร่วมยุคเดียวกับไดโนเสาร์ แหวกว่ายหากินในทะเลอยู่กว่า 160 ล้านปี

ในช่วงกลางของยุคไทรแอสซิก (ประมาณ 200-250 ล้านปีก่อน) ichthyosaurs ได้มีวิวัฒนาการจากสัตว์เลื้อยคลานบนดินกลับลงไปสู่ผืนน้ำอีกครั้ง ซึ่งมีวิวัฒนาการควบคู่ไปกับบรรพบุรุษของวาฬและโลมาในปัจจุบัน และได้ครองผืนน้ำในยุคจูราสสิก ก่อนที่จะถูกกวาดล้างโดยผู้ล่าที่ทรงพลังกว่าอย่าง plesiosaurus ในยุคครีเตเชียส (ประมาณ 65-145 ล้านปีก่อน)

ด้าน Thalattoarchon นั้น มีกะโหลกและกรามขนาดใหญ่โต ฟันแหลมคมเหมือนมีดยาวประมาณ 5 นิ้ว สามารถจับและรับประทานเหยื่อที่มีขนาดเท่ากับตัวมันเองได้ เปรียบเทียบได้กับวาฬเพชฌฆาตในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ก่อนหน้าการปรากฏตัวของ Thalattoarchon ราว 8 ล้านปี (ยุคเปอร์เมียน) ได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ประมาณ 80-96 เปอร์เซ็นต์ของสปีชีส์สัตว์ทะเล การเกิดมีขึ้นของสัตว์ผู้ล่าอย่าง Thalattoarchon ทำให้ระบบนิเวศฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็ว และมีวิวัฒนาการทางโครงสร้างนิเวศวิทยาขึ้นใหม่หลังการสูญพันธุ์ครั้งนั้น

ดร.นาเดีย ฟรอบิช จากพิพิธภัณฑ์ฮุมโบลดต์ ในกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี กล่าวว่า เธอได้เรียนรู้ความหลากหลายของระบบนิเวศในโลกของเรามากขึ้นทุกวัน ทั้งสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งระบบนิเวศของพวกมัน


"การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างระดับความเข้าใจใหม่ขึ้นในโครงสร้างของระบบนิเวศ การพบ Thalattoarchon ช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในวิวัฒนการของโลก และผลกระทบที่มนุษย์ได้รับในสภาวะแวดล้อมปัจจุบัน" ดร.ฟรอบิชกล่าว

เศษชิ้นส่วนของอดีตเจ้าทะเลชนิดนี้ยังอยู่ในสภาพดี ทั้งกะโหลก (ยกเว้นส่วนจมูก) ครีบ ลำกระดูกสันหลังทั้งหมดไปจนถึงปลายหาง

คณะผู้ศึกษาซากดึกดำบรรพ์ใช้เวลา 3 สัปดาห์ในการขุดซากดังกล่าวจนสำเร็จในปี 2553 จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายโดยเฮลิคอปเตอร์และรถบรรทุกไปทำการศึกษาจนสรุปออกมาดังที่ได้อ่านกัน

ดร.โอลิเวียร์ ริแอพเปล หนึ่งในคณะผู้ขุดค้นจากพิพิธภัณฑ์สนามชิคาโก กล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการศึกษาอดีตเพื่อที่จะสะท้อนอนาคต.

ที่มา -
#4594
วันนี้ (9 ม.ค.56)  พล.ร.ท.รุ่งศักดิ์ เสรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทัพเรือภาคที่ 1 ได้สังการให้ พล.ร.ต.ประดิษฐ์ ศิริคุปต์รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 สนธิกำลังร่วมกับ กองกำกับการ 5 กองกำกับการตำรวจน้ำ ศูนย์บริหารจัดการประมงทะเลอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก และศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 นำเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ออกจากชายฝั่ง ท่าเทียบเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ทำการออกลาดตระเวน ตรวจจับเรือประมงสัญชาติเวียดนาม หลังรับแจ้งมีการลับลอบเข้ามาทำประมงในฝั่งอ่าวไทย ด้านทิศตะวันออก


ต่อมา เรือหลวงรัตนโกสินทร์ ได้ออกทำการลาดตระเวนบริเวณ ตอนใต้เกาะจวง ระยะ 53 ไมล์ พบกลุ่มเรือประมงสัญชาติเวียดนาม ประมาณ 5 ลำ กำลังทอดสมอลอยลำทำประมง เมื่อเห็นเรือของทางการ ได้หนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง สามารถจับกุมได้เพียง 2 ลำพร้อมลูกเรือ รวม 21 คน จึงได้ควบคุมเรือ พร้อมลูกเรือทั้งหมด เข้าเทียบยังท่าเทียบเรือกลางอ่าว กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ ดำเนินคดีในข้อหา ทำการประมงรุกล้ำน่านน้ำไทยในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หนีเข้าราชอาณาจักไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และ พ.ร.บ.สิทธิทำการประมง

พล.ร.ต.ประดิษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีเรือประมงเวียดนาม ลุกล้ำเข้ามาทำประมงในอ่าวไทย พื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ สร้างผลกระทบให้กับประมงไทยอย่างมาก รวมถึงสถานะด้านความมั่นคงของชาติ ทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบ ในการปราบปรามจับกุมเรือประมงต่างชาติที่ลุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำไทย ได้ออกทำการลาดตระเวนพื้นที่กันอย่างเข้มงวด ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถจับกุมเรือประมงเวียดนามได้มากเกือบ 30 ลำ อันจะส่งผลให้เห็นว่า อ่าวไทยเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรใต้ท้องทะเลอย่างอุดมสมบูรณ์ จึงจำเป็นต้นรักษาไว้เพื่อเป็นผลประโยชน์ของชาติสืบไป

ที่มา -




จับเรือประมงเวียดนาม 2 ลำ ลูกเรือ 21 ชีวิต รุกล้ำทำประมงน่านน้ำไทย

วันนี้ (9 ม.ค.56) เวลา 09.30 น. พล.ร.ท.รุ่งศักดิ์ เสรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทัพเรือภาคที่ 1 ได้สังการให้ พล.ร.ต.ประดิษฐ์ ศิริคุปต์
รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 สนธิกำลังร่วมกับกองกำกับการ 5 กองกำกับการตำรวจน้ำ ศูนย์บริหารจัดการประมงทะเลอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก และศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 นำเรือหลวงรัตนโกสินทร์ออกลาดตระเวนตรวจจับเรือประมงสัญชาติเวียดนาม หลังรับแจ้งว่า มีการลับลอบเข้ามาทำประมงในฝั่งอ่าวไทยด้านทิศตะวันออก



ต่อมา ขณะเรือหลวงรัตนโกสินทร์ออกลาดตระเวนบริเวณตอนใต้เกาะจวง ระยะ 53 ไมล์ พบกลุ่มเรือประมงสัญชาติเวียดนาม ประมาณ 5 ลำ กำลังทอดสมอลอยลำทำประมง เมื่อเห็นเรือของทางการได้ขับเรือหนีไปคนละทิศละทาง จับกุมได้เพียง 2 ลำ คือ เรือหมายเลข CM 99362 TS ตัวเรือสีเขียวคาดฟ้า ยาว 8 วา ไต๋พร้อมลูกเรือรวม 10 คน และเรือหมายเลข CM 99689 TS ตัวเรือสีขาวคาดฟ้า ยาว 3 วา ไต๋พร้อมลูกเรือรวม 11 คน จึงควบคุมเรือ พร้อมลูกเรือทั้งหมดเข้าเทียบยังท่าเทียบเรือกลางอ่าว กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ ดำเนินคดีข้อหาทำการประมงรุกล้ำน่านน้ำไทยในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หนีเข้าราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และ พ.ร.บ.สิทธิทำการประมง

พล.ร.ต.ประดิษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีเรือประมงเวียดนามรุกล้ำเข้ามาทำประมงในอ่าวไทยพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ สร้างผลกระทบให้แก่ประมงไทยอย่างมาก รวมถึงสถานะด้านความมั่นคงของชาติ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบปราบปรามจับกุมเรือประมงต่างชาติ จึงออกลาดตระเวนอย่างเข้มงวด ซึ่งปีที่ผ่านมา สามารถจับกุมเรือประมงเวียดนามได้เกือบ 30 ลำ ชี้ให้เห็นว่า อ่าวไทยมีทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ต้องรักษาไว้เพื่อเป็นผลประโยชน์ของชาติสืบไป

ที่มา -
#4595
สศช.ปรับกรอบเงินลงทุนทวายเพิ่มอีก 1.5 แสนล้านบาท รวมโครงการโรงไฟฟ้าและการพัฒนานิคมฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฏร ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องความคืบหน้าและการดำเนินงานในการเตรียมความพร้อม โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศเมียนมาร์ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 หน่วยงาน เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สสค.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงพาณิชย์ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ บริษัท อิตาเลียนไทยดีเวลล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ "ITD" เป็นต้น

นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ รองเลขาธิการสศช.กล่าวว่าหลังจากที่โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายได้รับการยกระดับโครงการจากรัฐบาลไทยและเมียนมาร์ในปี 2554 ที่ผ่านมา และในการประชุมครั้งแรกที่ประเทศไทยได้มีการตั้งคณะทำงานระดับสูงเป็นกลไกร่วมกัน 3 ระดับ รวมทั้งได้มีประชุมร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศระหว่างคณะทำงานฯ 6 ชุดที่มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นประธาน ครั้งล่าสุดที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ จนถึงขณะนี้โครงการทวายได้มีควาคืบหน้าไปหลายส่วน เช่นการก่อสร้างถนนจากชายแดน จ.กาญจนบุรี ไปยังโครงการทวาย ระยะทาง 132 กิโลเมตร โดยเป็นถนนเข้าสู่โครงการที่รอจะพัฒนาเชื่อมต่อกับถนนมอเตอร์เวย์และเป็นเส้นทางหลักเข้าสู่โครงการทวายในระยะต่อไป ซึ่งโครงสร้างถนนและท่าเรือน้ำลึกระยะที่ 1 จะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558

ส่วนโครงการก่อสร้างพื้นฐานอื่นๆของโครงการทวาย เช่นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า การสร้างระบบรางเพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่ง การสร้างเขื่อนเพื่อเก็บกักน้ำจืด ระบบบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งระบบติดต่อสื่อสารและโทรคมนาคม ขณะนี้คณะทำงานฝ่ายไทยอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดทั้งรูปแบบ ความคุ้มค่าในการลงทุน รวมทั้งการคิดค่าตอบแทนในกรณีที่จะต้องลงทุนทางธุรกิจ เพื่อให้ได้ข้อมูลส่วนหนึ่งไปเสนอกับรัฐบาลเมียนมาร์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ของนักลงทุนเพื่อให้โครงการนี้มีความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเข้าไปลงทุนในอนาคต

ทั้งนี้สศช.ได้ปรับประมาณการลงทุนโครงการฯทวายจากเดิมที่ ITD ได้เคยจัดทำไว้เป็นวงเงินในการพัฒนาโครงการเป็นวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นวงเงินประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งวงเงินที่เพิ่มขึ้นเป็นวงเงินที่รวมการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมจำนวน1 หมื่นไร่ ไร่ละ 2 ล้านบาท รวมวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท และวงเงินในการพัฒนาโรงไฟฟ้าระยะที่ 1 ในโครงการได้แก่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรชาติขนาด 33 เมกะวัตต์และโรงไฟฟ้าพลังงงานความร้อนร่วมขนาด 180 เมกะวัตต์วงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท โดยวงเงินลงทุน 3.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นประมาณการลงทุนการลงทุนระยะที่ 1 ภายในปี 2558 วงเงิน 2.04 แสนล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในเมียนมาร์ 1.48 แสนล้านบาท และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมเชื่อมโยงจากประเทศไทยไปยังโครงการ 5.59 หมื่นล้านบาท การลงทุนระยะที่ 2 (2559 - 2563) 1.2 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนในเมียนมาร์ 1 แสนล้านบาท และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมเชื่อมโยงจากประเทศไทยไปยังโครงการ 2.03 หมื่นล้านบาท

ที่มา -




'อิตัลไทย'การันตี 'ทวายโปรเจกต์' เสร็จทันปี 58

"อิตัลไทย" การันตี "ทวายโปรเจกต์" เสร็จทันตามแผนในปี 58 ทั้งการสร้างถนนเชื่อมและท่าเรือน้ำลึก แม้ได้รับผลกระทบจากขึ้นค่าแรง 300 เชื่อการปรับแผน Framework Agreement ของพม่า จะไม่กระทบการทำงาน...


เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2556 นายสุเมธ สุรบถโสภณ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเดินหน้าโครงการทวายโปรเจกต์ในส่วนที่บริษัท อิตาเลียนไทยฯ รับผิดชอบ เช่น การก่อสร้าง Roadlink ระยะทาง 160 กิโลเมตร และท่าเรือน้ำลึกทวาย จะแล้วเสร็จตามแผนในปี 2558 อย่างแน่นอน แม้จะเกิดความไม่ชัดเจนในกรณีที่รัฐบาลพม่าต้องการจะปรับ Framework Agreement ประกอบกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท ซึ่งทางอิตาเลียนไทยได้เตรียมเพิ่มจำนวนคนงานและเครื่องจักรลงพื้นที่ เพื่อเร่งดำเนินการให้เสร็จทันตามแผน ซึ่งขณะนี้ท่าเรือเล็ก และ Access road เข้าโครงการดำเนินการแล้วเสร็จ และพร้อมที่จะลงมือก่อสร้างท่าเรือหลักได้ภายในปีนี้

ในวันเดียวกัน พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาจ้าง โครงการปรับปรุงทางขึ้น-ลง ทางพิเศษเฉลิมมหานคร กับถนนทางรถไฟสายเก่า บริเวณทางแยกต่างระดับอาจณรงค์ ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ วงเงินก่อสร้างกว่า 131 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 450 วัน คาดว่า จะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการในเดือน เม.ย.2557 สำหรับการปรับปรุงทางขึ้น-ลง ดังกล่าว เป็น 1 ใน 10 จุดที่ กทพ. จะต้องสร้างใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้ใช้ทางด่วน และแก้ปัญหาการจราจรแออัดบนทางด่วน

ด้านนายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กทพ. จะทยอยติดตั้งระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (อีซี่พาส) เพิ่มอีก 100 เคาน์เตอร์ โดยใช้งบประมาณเคาน์เตอร์ละ 2 ล้านบาท ซึ่งการติดตั้งดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ ส่วนจะติดตั้งจุดใดบ้าง จะมีการพิจารณาตามความเหมาะสมอีกครั้ง

ที่มา -
#4596
เมื่อเวลาประมาณ 14.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของวันที่ 8 มกราคม 2556 เกิดอุบัติเหตุขณะที่เรือโดยสารเฟอร์รี่ (Passenger Ferry) ชื่อ Vesteralen ความยาว 108 เมตร ขนาด  900 dwt ได้แล่นเรือด้วยความเร็วสูงเข้าชนสะพานเดินขนถ่ายผู้โดยสารลงเรือที่ติดอยู่กับตัวอาคารผู้โดยสารของท่าเทียบเรือโดยสารในเมืองแบร์เกน (Bergen) ประเทศนอร์เวย์


เรือเฟอร์รี่ Vesteralen แล่นด้วยความเร็วสูงเข้าชนสะพานเดินข้ามของผู้โดยสาร (passenger glass fly bridge) ที่ติดตั้งอยู่กับอาคารผู้โดยสารในท่าเทียบเรือเมืองแบร์เกนได้รับเสียหายพังยับ ล่วงลงมาอยู่ทีพื้นเบื้องล่างทั้งสะพาน ส่วนเรือเฟอร์รี่ได้รับความเสียหายบริเวณหัวเรือเป็นรอยแผลยาวประมาณ 1 เมตร และมีน้ำมันไฮดรอลิกถูกปล่อยรั่วไหลลงไปในทะเลประมาณ 3,000 ลิตร  สันนิษฐานสาเหตุการชนเกิดจากเรือใช้ความเร็วค่อนข้างสูงในขณะที่เข้าเทียบท่า จนไม่สามารถชะลอความเร็วและหยุดเรือได้ทัน มีหมอกลงหนาทึบในช่วงเวลาของการเกิดอุบัติเหตุด้วย


ไม่มีรายงานของการบาดเจ็บของผู้โดยสารจำนวน 84 คนและลูกเรือจำนวน 41 คนที่อยู่บนเรือขณะเกิดเหตุ หน่วยดับเพลิงท้องถิ่นนำบูมกันคราบน้ำมัน (containment booms) ลงวางล้อมตัวเรือเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของคราบน้ำมันแล้ว


เรือโดยสารเฟอร์รี่ (Passenger Ferry) ชื่อ  Vesteralen รหัสหมายเลข IMO คือ 8019368 ขนาด 6261 grt สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1983 จดทะเบียนชักธง  Norway


ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4597
ประเทศไทยได้รับความสนใจจากประชาคมออนไลน์อีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์นี้ เมื่อมีการถกเถียงผ่านเว็บไซต์ข่าวกลาโหมหลายแห่งเกี่ยวกับกฎหมายฉบับหนึ่งที่ค้างอยู่ในรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการมอบเรือรบเก่าให้แก่มิตรประเทศ 3 ชาติ รวมทั้ง 2 ลำสำหรับไทยด้วย ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ราชนาวีและรัฐบาลไทยอาจจะตัดสินใจรับเรือทั้งสองลำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เรือที่สหรัฐฯ เสนอให้แก่ไทยตั้งแต่ปีที่แล้ว คือเรือเร็นท์ (FFG-46 USS Rentz) กับเรือแวนเดกริฟท์ (FFG 48 USS Vandegrift) ซึ่งเป็นเรือฟรีเกตชั้นโอลิเวอร์ฮาซาร์ดเพอร์รี (Oliver Hazard Perry -Class) ที่ประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ ปัจจุบัน แต่ราชนาวีไทยยังไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ยังไม่มีข่าวสารอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจออกมาผ่านสื่อต่างๆ

เรื่องนี้กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อเว็บไซต์ข่าวกลาโหมหลายแห่งรายงานในวันอังคาร 7 ม.ค.นี้ เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่นำร่างรัฐบัญญัติเรื่องนี้เข้าพิจารณาอีกครั้ง หลังจากปล่อยค้างมาข้ามปีท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากกระทรวงกลาโหมที่ขอให้ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้โดยเร็ว โดยชี้ให้เห็นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ที่สูญเสียไปปีละนับร้อยล้านดอลลาร์จากความล่าช้า

ตามรายงานล่าสุดซึ่งอ้างนิตยสารเนวีไทมส์ (Navy Times) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างรัฐบัญญัติฉบับนี้ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.ปีที่แล้ว และนำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณา แต่วุฒิฯ คัดค้านเนื่องจากในร่างกฎหมายมีการเสนอให้เรือ 2 ลำแก่ประเทศตุรกี ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิสราเอลด้วย

ตามแผนการดังกล่าว สหรัฐฯ เสนอเรือฟรีเกตให้แก่พันธมิตร 3 ประเทศแบบ "ฟรีๆ" แต่ผู้รับจะต้องจ่ายเป็นค่าซ่อมแซม และอัปเกรดเรือตั้งแต่ 40-80 ล้านดอลลาร์ต่อลำ

ในแพกเกจเดียวกันนี้สหรัฐฯ เสนอ "มอบ" เรือชั้นโอลิเวอร์-ฮาซาร์ดฯ แก่เม็กซิโก 2 ลำ คือ เรือเคิร์ต (FFG 38 Kerts) กับเรือแม็คคลัสคีย์ (FFG 41 McKluskey) ให้ตุรกีคือเรือฮาลีเบอร์ตัน (FFG 43 Halyburton) กับเรือเท็ค (FFG 43 TECH)

ผู้แทนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้อธิบายให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของวุฒิสภาทราบว่า ถึงแม้ตุรกีจะเป็นประเทศมุสลิม แต่เป็นพันธมิตรนาโต้ของสหรัฐฯ มานาน และมิใช่ครั้งแรกที่ตุรกีได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในสหรัฐฯ ปัจจุบัน ทัพเรือตุรกียังมีฟริเกตชั้นเพอร์รีประจำการอยู่ด้วย

ยังไม่ทราบชะตากรรมของร่างรัฐบัญญัติฉบับดังกล่าว แต่วุฒิสภามีกำหนดนำเข้าพิจารณาใหม่ทั้งหมดในวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา เนวีไทม์สกล่าว

กองทัพเรือสหรัฐฯ ทยอยปลดประจำการเรือฟรีเกตชั้นนี้มาตั้งแต่ปี 2538 และมีกำหนดจะให้แล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2558 รวมทั้งสิ้น 51 ลำ ที่นำเข้าประจำการในช่วงปี 2522-2532 เรือนำของชั้นคือ FFG 7 Oliver-Hazard Perry ปลดตั้งแต่ปี 2540 หลังใช้งานมา 20 ปี

ตามข้อมูลของกองทัพเรือสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2555 ที่ผ่านมา ยังมีเรือชั้นโอลิเวอร์-ฮาซาร์ดฯ ประจำการอยู่ไม่ถึง 20 ลำ ลำ รวมทั้ง 6 ลำที่เสนอ "มอบ" ให้เม็กซิโก ตุรกี กับไทยด้วย ส่วนลำอื่นๆ ที่เหลือมีอยู่อย่างน้อย 6 ลำ ที่จะทยอยปลดระหว่างเดือน ก.พ.-ส.ค.ปีนี้


ที่ผ่านมา มีอย่างน้อย 10 ลำที่ปลดประจำการ และถูกนำไปตัดขายเป็นเศษเหล็ก หรือทำลายโดยฝ่ายความมั่นคง อีกจำนวนหนึ่งรอเวลานำไปทำลาย ที่เหลือ "มอบ" หรือ "ขาย" ให้พันธมิตรในตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และยุโรปตะวันออก ผู้แทนกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกกับวุฒิสภาว่า การปลดประจำการเรือชั้นเพอร์รี มีค่าใช้จ่ายลำละ 1 ล้านดอลลาร์ และหากยังเก็บไว้ก็จะมีค่าดูแลรักษาต่างๆ ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ต่อปีต่อลำ

สำหรับยูเอสเอสเรนท์ กับยูเอสเอสแวนเดกริฟท์ เข้าประจำการพร้อมกันในปี 2527 ซึ่งครบกำหนดใช้งาน 20 ปีในปี 2557

หลายปีมานี้ ทั้งยูเอสเอสเร็นท์ และยูเอสเอสแวนเดกริฟท์ ต่างได้รับมอบภารกิจให้ประจำกองทัพเรือที่ 5 และกองทัพเรือที่ 7 จึงเป็นที่คุ้นเคยในภูมิภาคนี้ แต่เรือแวนเดกริฟท์เป็นที่รู้จักมักคุ้นดีกว่าสำหรับไทย เนื่องจากเคยแวะเยือนเกาะภูเก็ตมาหลายครั้ง และร่วมฝึกซ้อมรบกับพันธมิตรในย่านนี้ในหลายโอกาส

เรือแวนเดกริฟท์ยังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม โดยไปเยือนนครโฮจิมินห์ในเดือน พ.ย.2526 กลายเป็นเรือรบสหรัฐฯ ลำแรกที่กลับไปเวียดนาม ตั้งแต่สงครามยุติลงในปี 2518

เรือชั้นเพอร์รียังคงเป็นเรือรบทันสมัย หลายลำผ่านการศึกษาอย่างโชกโชนมาในช่วงปลายยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย และเกือบทั้งหมดได้ทำหน้าที่ติดตามกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีของสหรัฐฯ ไปในทุกน่านน้ำทั่วโลก

และแม้ว่าจะสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ในการคุ้มครองเรือรบลำอื่นๆ กับภารกิจปราบเรือดำน้ำเป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้งานได้หลากหลาย ติดอาวุธนำวิถี และอาวุธอื่นๆ อีกรอบตัว ล้วนเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในเรือรบอีกหลายลำของราชนาวีไทย รวมทั้งจรวดฮาร์พูนด้วย

ถึงแม้จะเก่า แต่เรือรบชั้นนี้ยังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ รวมทั้งกองทัพเรือไต้หวันที่ขอซื้อจากสหรัฐฯ จำนวน 4 ลำ และปลายปีที่แล้วนายทหารระดับสูงแห่งกองทัพเรือคนหนึ่งกล่าวว่า มาเลเซียมีความประสงค์จะขอซื้อเรือรบชั้นนี้จากสหรัฐฯ จำนวน 4 ลำ แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าใดๆ อีก


กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างพัฒนานำกองทัพเรือเข้าสู่ยุคใหม่ โดยนำเรือรบยุคใหม่เข้าประจำการ รวมทั้งเริ่มนำเรือโจมตีชายฝั่ง หรือ Littoral Combat Ship เข้าใช้งานในช่วงปี 2 ปีมานี้ เช่นเดียวกับเครื่องบินของกองทัพเรือที่จะเปลี่ยนไปใช้ F-35 และกำลังพัฒนายานบินแบบไร้คนบังคับเพื่อใช้ทั้งในภารกิจลาดตระเวน และโจมตี

ขณะเดียวกัน ก็กำลังพัฒนา "เรือไร้คนบังคับ" เพื่อใช้ในภารกิจออกล่า-ตรวจหาเรือดำน้ำข้าศึกที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเรือฟรีเกตที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย.

ที่มา -

#4598
อิสตันบูล 8 ม.ค. 56 - ทางการตุรกีต้องปิดการเดินเรือในช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องทางเดินเรือสำคัญ เนื่องจากพายุหิมะทำให้ทัศนวิสัยลดลงมาก ขณะที่สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ ต้องยกเลิกเที่ยวบินตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันพุธ


บริษัทตัวแทนเรือจีเอซี แจ้งว่า การเดินเรือมุ่งหน้าขึ้นเหนือและล่องใต้ผ่านช่องแคบบอสฟอรัสถูกระงับทั้งหมด ตั้งแต่เวลา 11.45 น. วันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 16.45 น. วันนี้ ตามเวลาในไทย เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี นับเป็นวันที่ 2 แล้วที่มีการปิดเป็นระยะๆ ส่วนช่องแคบดาร์ดะเนลส์ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลมาร์มะรา ยังคงเปิดเดินเรือตามปกติ รัสเซียและประเทศริมทะเลดำต้องอาศัยช่องแคบ 2 แห่งนี้เป็นเส้นทางทางทะเลในการลำเลียงน้ำมัน ธัญพืช และสินค้าโภคภัณฑ์


สื่อต่างประเทศรายงาน ทางการตุรกีต้องปิดการเดินเรือในช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องทางเดินเรือสำคัญ เนื่องจากพายุหิมะทำให้ทัศนวิสัยลดลงมาก ขณะที่สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ ต้องยกเลิกเที่ยวบินตั้งแต่วันที่ 7-9 ม.ค.บริษัทตัวแทนเรือจีเอซี แจ้งว่า การเดินเรือมุ่งหน้าขึ้นเหนือและล่องใต้ผ่านช่องแคบบอสฟอรัสถูกระงับทั้งหมด ตั้งแต่เวลา 11.45 น. เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่น เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี นับเป็นวันที่ 2 แล้วที่มีการปิดเป็นระยะๆ ส่วนช่องแคบดาร์ดะเนลส์ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลมาร์มะรา ยังคงเปิดเดินเรือตามปกติ รัสเซียและประเทศริมทะเลดำต้องอาศัยช่องแคบ 2 แห่งนี้เป็นเส้นทางทางทะเลในการลำเลียงน้ำมัน ธัญพืช และสินค้าโภคภัณฑ์ด้านเว็บไซต์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ แจ้งว่า พายุหิมะทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 76 เที่ยว หลังจากเมื่อวันจันทร์ยกเลิกไปแล้วกว่า 10 เที่ยว

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4599
ใกล้ถึง "วันเด็ก" ครั้งใด อดให้คิดถึงสมัยยังเล็กไม่ได้ ต้องขออนุญาตคุณพ่อ คุณแม่ ไปดูรถถัง เครื่องบิน ที่กองทัพนำมาจอดโชว์ให้เด็ก ๆ ได้ขึ้นไปนั่ง ไปสัมผัส และหากถามเด็กผู้ชาย ส่วนใหญ่แล้วต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "โตขึ้นอยากเป็นทหาร" ซึ่ง "วันเด็ก" ของทุกปี ทำให้มีเด็กจำนวนมากไปชมแสนยานุภาพ และยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทย


สำหรับ กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ โดย พล.ร.อ.ฆนัท ทองพูล ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ได้สั่งการให้จัดเตรียม "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" เพื่อต้อนรับเยาวชนจากทั่วประเทศ ที่เดินทางมาเยี่ยมชม และร่วมกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ณ ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อีกทั้งจะต้องพาผู้ปกครอง เยาวชน จำนวนกว่า 1,000 คน ออกไปชมทัศนียภาพ ภูมิประเทศอ่าวสัตหีบในวันที่ 11 มกราคม 2556 ก่อนวันเด็ก 1 วัน เพราะในวันเด็ก 12 มกราคม 2556 จะต้องนำเรือเข้าเทียบท่าเพื่อให้เยาวชนขึ้นเยี่ยมชมเช่นเคยเหมือนทุก ๆ ปี

โดยงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ของกองทัพเรือ ได้จัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เรือหลวงจักรีนฤเบศร"

ซึ่งเปรียบเสมือนทูตสันถวไมตรีของกองทัพเรือ ซึ่งในแต่ละปีจะมีเด็กและเยาวชนจำนวนมากจากทั่วประเทศ เดินทางเข้าชมความสง่างามของ "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" จึงได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อาทิ ความสะอาดภายในเรือ สถานที่จัดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันเด็กปี 2556 นี้ กองทัพเรือโดย พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบให้เป็นของขวัญพิเศษแก่เด็กและเยาวชนที่มาเที่ยวชม "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ในครั้งนี้ ด้วยการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้ขึ้นบน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ล่องเรือชมทัศนียภาพอ่าวสัตหีบ ชมการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนแสนยานุภาพด้านการบินผาดแผลงทางอากาศยาน และแสนยานุภาพทางทะเลของกองทัพเรือ ในวันที่ 12 มกราคม 2556

น.อ.อนิรุธ สวัสดี ผู้บังคับการเรือหลวงจักรีนฤเบศร กล่าวว่า "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้จัดเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เด็กและเยาวชนตลอดจนผู้ปกครองได้ชมแสนยานุภาพของ "เรือหลวงจักรีนฤเบศร"

พร้อมกับเชิญชวนเข้าร่วมการจัดกิจกรรมทางทหารในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 นอกจากในพื้นที่บริเวณท่าเทียบเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แล้วยังได้จัดให้มีกิจกรรมการแสดงทางทหารในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อ.สัตหีบ และที่กองการบินทหารเรือ สนามบินอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ซึ่งประกอบด้วย การแสดงแสนยานุภาพทางทหาร การแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพเรือ การแสดงการโดดร่มแบบดิ่งพสุธา การแสดงดนตรี แจกของขวัญ อาหารเครื่องดื่ม ให้กับผู้ที่เข้าร่วมชมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศจำนวนมากทยอยเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

"เรือหลวงจักรีนฤเบศร" เป็นเรือธงและเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกและลำเดียวของราชนาวีไทย ประจำการในส่วนกำลังรบของกองทัพเรือ เป็นเรือที่ต่อขึ้นจากประเทศสเปน โดยนำแบบมาจากเรือ ปรินซีเปเดอัสตูเรียส ของกองทัพเรือสเปน โดยปรับปรุงระบบขับเคลื่อน ระบบควบคุมการบิน ระบบอาวุธ และลดระวางขับน้ำลงเหลือสองในสาม ขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 ได้ใช้งานปฏิบัติภารกิจด้านยุทธการและช่วยเหลือภัยพิบัติตลอดน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งภารกิจในอดีตในการช่วยเหลือประชาชน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้ช่วยเหลือประชาชนในเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนี้

พายุไต้ฝุ่นซีตาห์ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นซีตาห์ที่จังหวัดชุมพร เรือหลวงจักรีนฤเบศร ได้ไปยังพื้นที่ประสบภัย และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ตามตำบลต่าง ๆ เนื่องจากระดับน้ำท่วมสูงจนการช่วยเหลือทางบกไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้ การดำเนินการเบื้องต้น คือ การใช้เฮลิคอปเตอร์จากเรือนำอาหารที่ประกอบเรียบร้อยแล้วรวมทั้งน้ำดื่มไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ติดอยู่ตามตำบลต่าง ๆ เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น

พายุไต้ฝุ่นลินดาในวันที่ 4-7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้ออกเรือเพื่อให้การช่วยเหลือเรือประมงในทะเล ที่ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นลินดาโดยลาดตระเวนจากสัตหีบไปยังเกาะกูด จ.ตราด จนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์


นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ครั้งสำคัญ "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2547 ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ โดยกองเรือยุทธการ จัดตั้งหมู่เรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล โดยมีกำลังพลรวมทั้งสิ้น 760 นาย ซึ่งประกอบด้วย "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" และ "เรือหลวงนเรศวร" รวมทั้งชุดแพทย์เคลื่อนที่ โดยมีภารกิจหลักคือ ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้การรักษาพยาบาล บริเวณเกาะต่าง ๆ รวมถึงพื้นที่ทะเลด้านใต้ของเกาะภูเก็ต พร้อมกับเก็บกู้ศพ ลำเลียงศพจากเกาะพีพีดอน นอกจากนั้นยังให้การสนับสนุน และรับการตรวจเยี่ยมจากนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ และกองทัพเรือ

"เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญในยามสงบและยามสงคราม ซึ่งในยามสงบให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ, ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล, ปฏิบัติการอพยพประชาชน, ปฏิบัติการควบคุมและรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเลและบริเวณชายฝั่ง, คุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทะเล ส่วนในยามสงคราม ทำหน้าที่เป็นเรือธง ควบคุม บังคับบัญชากองเรือในทะเล ควบคุมการปฏิบัติการป้องกันภัยทางอากาศให้กับกองเรือ ควบคุมการปฏิบัติการป้องกันภัยผิวน้ำให้กับกองเรือ ควบคุมการปฏิบัติการปราบเรือดำน้ำให้กับกองเรือ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในวันเด็กแห่งชาติ 2556 เด็ก ๆ คงเฝ้ารอที่จะมาเยือน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ซึ่งเป็นอีกความฝันหนึ่งของเด็กผู้ชายหลาย ๆ คนที่อยากจะเป็นทหาร และคงจะยึดคำขวัญวันเด็กในปีนี้ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่นคือ "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน".

ณัฐภูมินทร์ ปานรักษ์

ที่มา -
#4600
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า ขณะนี้ สนพ.อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดโครงการ Energy Bridge ซึ่งจะลงทุนเชื่อมโยงระหว่างชายฝั่งทะเลตะวันตก(ทะเลอันดามัน) กับชายฝั่งทะเลตะวันออก(อ่าวไทย) โดยจะลงทุนทำเฉพาะท่อน้ำมัน และมีคลังน้ำมันที่หัว-ท้ายท่อส่งน้ำมัน ซึ่งท่อส่งน้ำมันจะมีเรือขนถ่ายสินค้าทางทะเล และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก


ทั้งนี้ Energy Bridge จะสร้างผลพลอยได้ในเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน เนื่องจากต้องมีการสร้างคลังทั้ง 2 ฝั่ง คือฝั่งทะเลอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจะสอดคล้องกับการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน

สำหรับสถานที่ตั้งในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแต่ใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว โดยมี 3 ทางเลือก คือ ทางเลือกแรก ที่ปากบารา-ขนอม ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีถนน 4 เลน ที่เกือบจะเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน โดยเหลืออีกเพียง 60 กิโลเมตร ก็จะเชื่อมได้ทั้งหมด

ทางเลือกที่สอง คือ โครงการที่ศึกษาแลนด์บริดจ์เดิม จากฝั่งทับละมุ จ.พังงา ไป จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งทางเลือกนี้มีผลการศึกษาไว้แล้ว

ทางเลือกที่สาม คือ นิคมอุตสาหกรรมทวาย ในประเทศเมียนมาร์ ที่ผ่าน จ.กาญจนบุรี ซึ่งหากโครงการนี้เกิดขึ้นจะมีการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อเชื่อมฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของกรุงเทพ และระหว่างมอเตอร์เวย์ก็สามารถวางท่อส่งน้ำมันได้ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ให้ครบทุกมิติ คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนม.ค.นี้จากนั้นจะนำเสนอให้ รมว.พลังงานพิจารณาต่อไป

นายสุเทพ กล่าวว่า สาเหตุที่ สนพ.ต้องศึกษาเรื่องดังกล่าว เพราะต้องเร่งสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ เนื่องจากในระยะยาวช่องแคบมะละกาจะขนส่งสินค้าได้เต็มความสามารถ ซึ่งสามารถรองรับเรือที่มาจากฝั่งแปซิฟิคได้สูงสุด 17 ล้านบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันมีการขนส่งอยู่ประมาณ 12-13 ล้านบาร์เรล/วัน จึงต้องหาเส้นทางอื่นเพิ่มเติมในการขนส่ง ประจวบเหมาะกับไทยอยู่ในยุทธ์ศาสตร์ที่ดี และได้มีการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์แล้วเพื่อขนส่งสินค้าจากฝั่งทะเลอันดามันมาฝั่งทะเลแปซิฟิคสำหรับรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิค คือ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มากในอนาคต

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการแบ่งส่วนมาจากโครงการแลนบริดจ์ หรือสะพานเศรษฐกิจของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเดิมเป็นโครงการนี้จะดำเนินการครบวงจรทั้งท่าเรือน้ำลึก, ถนน, ทางรถไฟ, ท่อส่งน้ำมัน และท่อส่งก๊าซธรรมชาติ

ที่มา -
#4601
นับเป็นอภิมหาโปรเจกท์ความร่วมมือระหว่างไทยกับพม่า "โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย" ซึ่งคาดการณ์กันว่าหากโครงการนี้สำเร็จเสร็จสิ้น จะเป็นประตูเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งใหม่ของโลกตะวันตกและตะวันออก เพราะนับเป็นศูนย์กลางระบบโลจิสติกส์


และการค้าขนาดใหญ่ของภูมิภาค เชื่อมโยงการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศในแถบทะเลจีนใต้ ผ่านทะเลอันดามันสู่มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเส้นทางที่ส่งสินค้าทั้งไปและกลับทางน้ำ ผ่านไปสู่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ทวีปยุโรป และทวีปแอฟริกา ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาในการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยพัฒนาการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เจริญเติบโตในระยะยาวต่อไป

สำหรับไทยท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นประตูเศรษฐกิจบานใหม่ ที่เชื่อมระหว่างท่าเรือน้ำลึกทวายกับท่าเรือแหลมฉบัง ตามยุทธศาสตร์การค้าการลงทุน เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านของรัฐบาล ดังนั้นสินค้าต่าง ๆ ที่ไม่ว่าจะมาจากยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ย่อมจะผ่านท่าเรือน้ำลึกทวายออกสู่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 วันเท่านั้น และสามารถส่งผ่านไปยังประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือประเทศในแถบแปซิฟิกได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

"ดร.พงษ์ธนา วณิชย์กอบจินดา" อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า ได้ให้แง่มุมรวมไปถึงการปรับตัว เพื่อเข้าไปฉกฉวยโอกาสและใช้ประโยชน์จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และการเปิดท่าเรือน้ำลึกทวายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า ท่าเรือน้ำลึกทวายคือโอกาสของการค้าการลงทุน และการส่งออกของภูมิภาค เพราะในอดีตที่ผ่านมาการขนส่งกระจายสินค้าจะต้องผ่านท่าเรือสิงคโปร์ อ้อมแหลมมะละกา ซึ่งใช้เวลา 16-18 วัน หากท่าเรือน้ำลึกทวายแล้วเสร็จจะช่วยร่นการขนส่งได้อย่างดีเยี่ยม

สิ่งที่สำคัญคือ ท่าเรือน้ำลึกทวายยังอยู่เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ตามกรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ (อิโคมิค คอร์ริดอร์) และยังมีจุดเชื่อมโยงต่าง ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นแนวตะวันออก-ตะวันตก (อีท-เวสท์ อิโคโนมิค คอร์ริดอร์ ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม-เมืองเมาะละแหม่ง พม่า) และทางตอนใต้ (เซาท์ อิโคโนมิค คอร์ริดอร์ ระหว่างนครโฮจิมินห์ เวียดนาม-เมืองทวาย พม่า) รวมทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับเส้นทางตอนเหนือ-ใต้ (นอร์ท-เซาท์ อิโคโนมิค คอร์ริดอร์ ระหว่างนครคุนหมิง จีนตอนใต้-กรุงเทพฯ) ด้วย

ส่วนเส้นทางต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะยิ่งเป็นตัวผลักดันให้ไทยยิ่งโดดเด่น โดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิต และเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงการกระจายสินค้าในภูมิภาค เพราะสินค้าจะเกิดการเปลี่ยนถ่ายในไทย รวมทั้งการค้า การลงทุนและการผลิตตามแนวตะเข็บชายแดนจะเป็นยุทธศาสตร์หลักที่จะเกิดขึ้นหลังเออีซี ประกอบกับจุดแข็งที่สำคัญของไทยที่น่าสนใจ คือ ความรู้ความสามารถของคนไทยได้เปรียบทั้งลาวและกัมพูชา พม่า แล้วจริงๆความรู้เราก็ไม่เป็นรองสิงค์โปร์เช่นเดียวกัน แต่ไทยจะต้องพัฒนาให้ถูกทางเท่านั้นเอง

สำหรับไทยต้องเร่งพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะการเปลี่ยนความคิดเลิกใช้คำว่า "เป็นประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ" เราจะต้องผันตัวเองเร่งพัฒนาสินค้าขายสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเน้นการแข่งขันในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าเพิ่ม เน้นสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า เพราะถ้าเราเล่นในเรื่องของต้นทุนต่ำ ไทยคงสู้ลาว กัมพูชา รวมถึงพม่าไม่ได้อย่างแน่นอน


"สิ่งสำคัญคือการเปิดเออีซีอย่ามองที่ผลเสีย ต้องมองว่าเราจะได้ประโยชน์อะไร ผลเสียมันคือจุดอ่อนมากกว่า นักลงทุนต่าง ๆ รวมถึงภาครัฐควรร่วมมือกันปิดช่องโหว่ของจุดอ่อนต่าง ๆ และมาร่วมกันสร้างจุดแข็ง ช่วยกันฉกฉวยโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะเอสเอ็มอีขนาดกลางที่พร้อม แต่ขาดเงินทุนภาครัฐจะต้องเร่งเข้าไปสนับสนุนให้ได้มากที่สุด ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กจะต้องสร้างความพร้อม การปรับตัวต้องมีทิศทางที่ชัดเจนว่าจุดขายคืออะไร การดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้มีภาคธุรกิจรายเล็กจำนวนมาก ที่หาทิศทางไม่เจอทำให้เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก"

สิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นโอกาสดีที่รอการพิสูจน์ เพราะขณะนี้โครงการเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต้องอาศัยระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะแล้วเสร็จ และมองเห็นภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม ประกอบกับอุปสรรค และความไม่ชัดเจนของผู้ประกอบการ นักลงทุนต่าง ๆ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ไทยอาจไม่ได้เป็นศูนย์กลางอย่างสมบูรณ์แบบ ประกอบกับพม่าที่เพิ่งเริ่มเปิดประเทศ ยังมีสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญกว่าและต้องเร่งพัฒนา ทำให้โครงการนี้กว่าจะสำเร็จได้คงต้องตามลุ้นกันอีกหลายอึดใจ.

ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน

ที่มา -
#4602
ทีมกู้ภัยพร้อมเรือลากจูง towing vessel ชื่อ Aiviq ได้เริ่มต้นปฎิบัติการกู้แท่นขุดเจาะน้ำมันของเชลล์ที่ชื่อ Kulluk  ที่ติดเกยตื้นออกจากโขดหิน บริเวณใกล้เกาะอลาสกา (Alaska island) แล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 ม.ค. 56) ซึ่งสภาพอากาศในทะเลเริ่มสงบลงบ้างแล้ว หลังจากที่ที่มีหิมะและพายุลมแรงพัดกระหน่ำด้วยความเร็วระหว่าง 15 ถึง 30 ไมล์ต่อชั่วโมงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา


โฆษกของบริษัทรอยัลดัตช์เชลล์ (Royal Dutch Shell) กล่าวว่าเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2013 เวลาประมาณ 22.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น แท่นขุดเจ้าน้ำมัน Kulluk ได้รับการกู้ให้หลุดจากการติดเกยตื้นเป็นผลสำเร็จ และสามารถเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งชายฝั่งของเกาะ Sitkalidak ได้แล้ว ขณะนี้แท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk ได้ถูกลากจูงโดยเรือลากจูงชื่อ Aiviq และได้เริ่มส่งคนลงไปยังแท่นขุดเจาะเพื่อประเมินความเสียหายของแท่นขุดเจาะแล้วด้วย

มีเรือทักลากจูง 3 ลำลอยลำอยู่ใกล้ๆ คอยเตรียมพร้อมเข้าทำการช่วยเหลือ พร้อมกับเรือของหน่วยยามฝั่งชื่อ "อเล็กซ์เฮลีย์" (Alex Haley) และเรือขจัดคราบน้ำมัน (oil spill response vessels) อีก 2 ลำ

ต่อมาอีกประมาณ 12 ชั่วโมง พบว่าเรือลากจูง  Aiviq และแท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk ได้เดินทางไปได้เป็นระยะทางประมาณ 45 ไมล์ทะเลนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการลากจูง ด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 3.5 นอตหรือ 4 ไมล์ต่อชั่วโมง ลูกเรือของเรือขจัดน้ำมัน "Nanuq" ได้ใช้อุปกรณ์กล้องอินฟราเรดบนเรือตรวจสอบและรายงานว่าไม่พบร่องรอยของการปล่อยน้ำมันรั่วลงทะเลแต่อย่างใด แท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk ยังคงถูกลากจูงต่อเพื่อไปยังอ่าว Kiliuda Bay ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของอ่าวโอเชียนเบย์ (Ocean Bay) ประมาณ 30 ไมล์ทะเล


เรือยามฝั่ง "อเล็กซ์เฮลีย์" แล่นตามเพื่อคอยดูแลขบวนลากจูงทั้งหมดเพื่อพาไปยังอ่าว Kiliuda Bay พร้อมกับเรือขจัดคราบน้ำมัน 2 ลำเพื่อคอยตอบสนองและการสนับสนุนอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดตามอยู่ห่างๆ ประมาณ 500 หลา อันเป็นเขตปลอดภัย (safety zone) รอบ ๆ แท่นขุดเจาะน้ำมัน Kulluk คาดว่าจะเดินทางถึงประมาณวันที่ 8 มกราคม 2556

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย


#4603
เอ็กซ์ซอนโมบิล คอร์ป เล็งลงทุน 14 พันล้านดอลลาร์ ขุดน้ำมันในประเทศแคนาดา


เอ็กซ์ซอนโมบิล คอร์ป จะลงทุน 14 พันล้านดอลลาร์ ผลักดันเขตขุดเจาะน้ำมันฮิบรอนในน่านน้ำทิศตะวันออกของจังหวัดนิวฟาวนด์แลนด์และลาบราดอร์ของประเทศแคนนาดา โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถผลิตมันน้ำได้ถึง 700 ล้านบาร์เรล

การประกาศของเอ็กซ์ซอน คือ กระจกสะท้อนว่า ปัจจุบันผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่กำลังพุ่งเป้าความสนใจมายังทวีปอเมริกาเหนือ หลังจากค้นหาน้ำมันในตะวันออกกลาง แอฟริกาและทวีปอื่นๆ มาหลายปี โดยเทคโนโลยีขุดเจาะใหม่อนุญาตให้เอ็กซ์ซอนโมบิล โคโนโคฟิล์ลิปส์และบริษัทอื่นๆ สามารถค้นพบข้อมูลสำคัญของชั้นหินในแคนาดาและสหรัฐได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตเชื้อเพลิงคำนึงถึงแหล่งน้ำมัน ซึ่งอยู่ใกล้กับชายฝั่งของทั้ง 2 ประเทศมากขึ้น

เอ็กซ์ซอน เปิดเผยว่า จะเริ่มกระบวนการผลิตในปี 2560 โดยน่าจะสามารถผลิตน้ำมันได้ 150,000 บาร์เร็ลต่อวัน ทั้งนี้บริษัทขุดเจาะน้ำมันจากเมืองไอร์วิง รัฐเท็กซัสแห่งนี้ จะถือหุ้นผ่านบริษัทในเครือ 36% ในโครงการขุดเจาะดังกล่าว ร่วมกับเชฟรอน เอ็นเนอร์จี อิงค์ สเตทออยล์ และนาล์คอร์ เอนเนอร์จี แอนด์ แก๊ส

แม้สหรัฐไม่ได้อนุญาตให้ขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกมานานหลายสิบปีแล้ว ส่งผลให้พื้นผิวของทะเลแอตแลนติกอุดมสมบูรณ์สำหรับผู้ที่แสวงหาแหล่งน้ำมันสำรองใกล้กับแคนนาดา

ในปี 2555 บริษัทรอยัล ดัชท์ เชลล์ ออกมาระบุว่า บริษัทจะลงทุนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อสำรวจน่านน้ำของแอตแลนติกนอกจังหวัดโนวาสโกเชีย โดยตามรายงานของรัฐบาลแคนนาดา ระบุว่า กว่า 40%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในจังหวัดนิวฟาวนด์แลนด์และลาบราดอร์มาจากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ

นักวิเคราะห์อาวุธโสจากออปเปนไฮเนอร์ ฟาเดล ไจต์กล่าวว่า "ทวีปอเมริกาเหนือคือสถานที่ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก ทั้งในและนอกชายฝั่ง โดยทิศตะวันออกของประเทศแคนนาดายังไม่ได้รับการสำรวจที่เพียงพอ"

ทั้งนี้การขุดเจาะน้ำมันจะเกิดขึ้น 200 ไมล์ทางตอนใต้ห่างจากเมืองเซนต์จอห์น และขุดลึกลงไปกว่า 300 ฟุตในน้ำ เอ็กซ์ซอน เปิดเผยว่า บริษัทจะใช้แทนขุดแบบเดี่ยว ซึ่งมีโครงสร้างตามแรงโน้มถ่วง โดยแท่นขุดดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อให้ทนทานต่อทะเลน้ำแข็งของชายฝั่งแอตแลนติก

รัฐบาลกลางของประเทศแคนาดาและรัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัดนิวฟาวนด์แลนด์กับลาบราดอร์ อนุมัติโครงการดังกล่าวแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ที่มา -
#4604
"ชัชชาติ" สั่ง สนข.ทำรายละเอียดโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เร่งทำความเข้าใจคลังขั้นตอนเบิกจ่ายก่อนเข้า ครม.ม.ค.นี้ พร้อมเร่งทุกหน่วยสางปัญหาโครงการล่าช้า จี้ กทท.แก้คอขวดทางเข้าออกแหลมฉบัง เหตุถูกผู้ประกอบการร้องเรียนหนัก ยันค่าแรง 300 บาทไม่กระทบต้นทุนงานก่อสร้าง


นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมติดตามการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม วานนี้ (7 ม.ค.) ว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดำเนินโครงการที่ล่าช้าและแก้ปัญหาการให้บริการ เช่น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องเร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) สีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี) และเจรจากับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล ในการบริหารสัญญาเดินรถส่วนเชื่อมต่อระหว่างสถานีบางซื่อของรถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมรัชมงคลที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน กับสถานีเตาปูนของสายสีม่วง ระยะทาง 1 กิโลเมตร

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ต้องเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ส่วนต่อขยาย (พญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) โครงการรถไฟทางคู่ (ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย) และรถไฟสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ส่วนกรมทางหลวง (ทล.) เร่งโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา และบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ให้เร่งดำเนินโครงการยกระดับถนนเพื่อเป็นคันกั้นน้ำให้เป็นไปตามแผนงาน

ส่วนการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ต้องเร่งแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณทางเข้าออกของท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เนื่องจากด่านชั่งน้ำหนักและด่านเก็บเงินเป็นคอขวด และได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้บริการและหอการค้า พร้อมกันนี้จะต้องเร่งสรุปรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับโครงการท่าเทียบเรือปากบารา จ.สตูล ว่าจะเป็นท่าเรืออเนกประสงค์ หรือท่าเรือขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ เพราะตามแผนท่าเรือน้ำลึกถูกต่อต้านมาก ส่วนกรมเจ้าท่า (จท.) ให้ตรวจสอบโครงการขุดลอก 26 โครงการ วงเงิน 1,215 ล้านบาทที่ถูกอภิปรายไม่วางไว้ใจและแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นอีก

ด้านการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นอกจากปรับปรุงปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง โดยส่งเสริมให้มีการใช้บัตรผ่านทางอัตโนมัติ (Easy Pass) แล้วจะต้องเร่งโครงการก่อสร้างทางพิเศษขั้นที่ 3 สายเหนือ ช่วง N1 N2 และ N3 โดยเฉพาะช่วงที่มีเสาตอม่อแล้วให้ดำเนินการก่อสร้างก่อน โดยไม่ต้องรอส่วนที่ติดปัญหาเวนคืน เช่น บริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาจราจรระหว่างจังหวัดนนทบุรี เขตบึงกุ่ม และเขตบางกะปิ

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดแผนรายละเอียดการดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดทำ พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนมกราคมนี้ โดยต้องหารือเพื่อทำความเข้าใจในการเบิกจ่ายเงินกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เช่น กรณีวงเงินประมูลเกินราคากลางจะทำอย่างไร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทนั้น ได้ตรวจสอบพบว่ามีผลกระทบต่อการก่อสร้างงานทางของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6% ซึ่งถือว่าไม่มาก ส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้านั้นจะใช้เครื่องจักรเป็นหลักและค่าแรงเกิน 300 บาทอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแต่ละโครงการต้องทำแผนและตารางการก่อสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับเหมาเตรียมความพร้อมล่วงหน้า

ที่มา -
#4605
วันนี้ ( 7 ม.ค.56 ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษว่า ทางการอังกฤษประกาศเมื่อวันอาทิตย์ พร้อมใช้กำลังทางทหารกับอาร์เจนตินาหากมีความจำเป็น หลังกรณีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองชาติเรื่องหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง


นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์บีบีซี เพียงไม่กี่วันหลังประธานาธิบดีคริสตินา เคิร์ชเนอร์ ผู้นำหญิงแห่งอาร์เจนตินา ออกมากล่าวโจมตีอังกฤษว่า ใช้อิทธิพลและอำนาจของความเป็นเจ้าอาณานิคมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 บังคับขู่เข็ญ เพื่อแย่งชิงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์มาจากอาร์เจนตินา

คาเมรอนกล่าวว่า ถ้อยแถลงที่ค่อนข้างรุนแรงของเคียชเนอร์ เปรียบเสมือนการส่ง "สาส์นท้ารบ" ของรัฐบาลบัวโนสไอเรสมายังอังกฤษ ซึ่งในฐานะผู้นำประเทศ เขาพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอธิปไตยของอังกฤษ แม้จะต้องถึงขั้นการใช้กำลังทางทหาร อย่างไรก็ตาม คาเมรอนแสดงความเชื่อมั่นว่า กองทัพอังกฤษที่ประจำการอยู่บนหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดน ที่เป็นของอังกฤษอย่างชอบธรรม


นอกจากนี้ ผู้นำอังกฤษยังยกผลสำรวจความคิดเห็นประชากรทั้ง 3,000 คนบนหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ที่ระบุว่า ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษต่อไป ก่อนการลงประชามติอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้จะมีขึ้นในเดือนมี.ค.

ทางการอาร์เจนตินาส่งกองทัพเข้ารุกรานหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ เมื่อปี 2525 กระตุ้นให้นายกรัฐมนตรีมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ผู้นำอังกฤษในขณะนั้น ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังทางเรือ และทางอากาศเพื่อยึดหมู่เกาะแห่งนี้กลับคืน ทั้งนี้ การสู้รบที่เกิดขึ้นกินระยะเวลานานถึง 74 วัน คร่าชีวิตทหารอังกฤษไป 255 ศพ และทหารอาร์เจนตินา 649 ศพ

ที่มา -