MarinerThai Webboard

ข่าวต่างๆ ในวงการเรือและพลังงาน => ข่าวอัพเดทรายวัน => หัวข้อที่ตั้งโดย: mrtnews เมื่อ พ.ค 08, 13, 07:31:42 ก่อนเที่ยง

ชื่อ: อินเดียยังคงเป็นประเทศที่ซื้อและนำเข้าอาวุธมีมูลค่าอันดับหนึ่งของโลก
โดย: mrtnews เมื่อ พ.ค 08, 13, 07:31:42 ก่อนเที่ยง
โดย : พิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี

อินเดียวันนี้ มีทหารประจำการในสามเหล่าทัพกว่า 1.4 ล้านคน มาจากความสมัครใจ ไม่มีการเกณฑ์ ลองทายว่ากองทัพอินเดียที่มีขนาดและความเข้มแข็งอันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐฯ รัสเซียและจีน มีนายทหารยศพลเอกหรือเทียบเท่าประมาณกี่คน

(http://www.marinerthai.com/pic-news3/2013-01-17_005.jpg)

คำตอบสุดท้ายแบบไม่ต้องกะประมาณ คือ 3 คน ได้แก่ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. นอกนั้นเป็นยศลดหลั่นตามกันลงมา ทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลด้านนโยบายของรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเป็นนักการเมือง และปลัดกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน

กล่าวได้ว่า ทหารอินเดียเป็นทหารอาชีพอยู่ในค่ายทหาร เชื่อฟังรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่วันที่ประเทศได้เอกราชจากอังกฤษเมื่อกว่า 65 ปีมาแล้ว

นักการเมืองอินเดียให้เกียรติฝ่ายทหารมาตลอด ทั้งในเรื่องการเลื่อนตำแหน่งภายในเหล่าทัพที่เป็นไปตามอาวุโส ประสบการณ์ ไม่มีใบสั่งทางการเมือง ทั้งยังสนับสนุนเรื่องงบประมาณซึ่งสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยในปี 2554 มีมูลค่า 46,800 ล้านเหรียญ

ในวันที่ ผบ.เหล่าทัพจัดงานเลี้ยงฉลองวันกองทัพของตนที่บ้านพักประจำตำแหน่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันทั้งสามเหล่าทัพกลางกรุงนิวเดลี ผู้นำการเมืองอินเดียจะไปร่วมงานกันพร้อมหน้า ตั้งแต่ประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี นางโซเนีย คานธี ประธานพรรครัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ตลอดจนคณะทูตานุทูต

กองทัพอินเดียผ่านสงครามกับเพื่อนบ้านมาหลายครั้ง จึงลงทุนด้วยงบประมาณจำนวนมากเพื่อการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ เฉพาะในช่วงปี 2550 - 2555 มีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

อินเดียมีอาวุธนิวเคลียร์มาตั้งแต่ปี 2517 โดยยึดนโยบาย "ไม่เป็นฝ่ายใช้ก่อน" ได้พัฒนาจรวดติดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยไกลรัศมีห้าพันกิโลเมตร หรือติดตั้งกับเครื่องบินทิ้งระเบิด เครืองบินขับไล่ เรือรบ เรือดำน้ำ อีกทั้งได้พัฒนาระบบขีปนาวุธ สกัดจรวดของศัตรูซึ่งทดสอบสำเร็จเป็นข่าวเมื่อไม่นานนี้

กองทัพบกอินเดียมีโครงการพัฒนาระบบทหารราบสำหรับอนาคตในช่วงปี 2555-2563 มีประวัติการเข้าร่วมในกองกำลังสันติภาพสหประชาชาติที่เด่นชัดในหลายประเทศ เช่นเดียวกับกองทัพเรือที่มีบทบาทในการปราบปรามโจรสลัดนอกฝั่งแอฟริกา

กองทัพเรืออินเดีย มีนโยบายขยายขีดอำนาจไปในมหาสมุทรกว้าง ผบ.ทร.คนปัจจุบันได้ให้สัมภาษณ์ในวันกองทัพเรือปลายปี 2555 ว่า กองทัพเรืออินเดียพร้อมจะปฏิบัติการทางทะเลในทะเลจีนใต้หากผลประโยชน์อินเดียถูกกระทบ และมั่นใจว่าฝ่ายการเมืองจะสนับสนุน ขณะนี้มีการเช่าเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์มาจากรัสเซีย พร้อมๆ กับการต่อเรือดำน้ำเอง กำหนดแล้วเสร็จในปี 2558 และเรือบรรทุกเครืองบินภายในปี 2560 นอกจากนี้ อินเดียยังสามารถต่อเรือฟรีเกตแบบ "Stealth" ซึ่งใช้โลหะลวงจอเรดาร์ให้เล็กเหมือนเรือประมงได้

กองทัพอากาศอินเดียพึ่งพาเครื่องบินขับไล่จากรัสเซียเป็นหลักและยังมีจากอังกฤษ อิสราเอล ฝรั่งเศส ล่าสุดได้เสนอรัฐบาลให้ซื้อเครื่องบินขับไล่ขนาดกลาง แบบสารพัดบทบาทของ ราเฟล ฝรั่งเศส ทำให้ สหรัฐฯ อังกฤษและรัสเซียผิดหวังไปตามกัน เพราะงานนี้ อินเดียซื้อทีละ 126 ลำ โดย 18 ลำแรกจะลำเลียงตรงมาจากฝรั่งเศสล้วนๆ แต่ที่เหลือจะต้องย้ายฐานการผลิตและเทคโนโลยีไปที่โรงงานผลิต HAL (Hindustan Aeronautics Limited) ของรัฐบาลอินเดียเอง

อินเดียใช้แนวทางนี้มาตลอดในการซื้อและพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ เพราะรัฐบาลตั้งแต่นายกรัฐมนตรีคนแรกมีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีอินเดียให้ทันสมัย โดยมีโครงการอวกาศและการสร้างสถาบันศึกษาด้านวิศวกรรมรองรับไว้ตั้งแต่ได้เอกราชใหม่ๆ

ด้วยเหตุผลนี้เอง มีบริษัทผลิตอากาศยาน เรือรบและอุปกรณ์ทางทหารต่างๆ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลหลายแห่งทั่วประเทศ บริษัทต่อเรือ เช่น HSL (Hindustan Shipyard Limited) ต่อเรือไปแล้ว 160 ลำ ซ่อมบำรุงอีกกว่า 2000 ลำ ยังไม่นับบริษัทเอกชนอินเดียอีกหลายบริษัทที่ทำธุรกิจสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กระทรวงกลาโหมอินเดีย งานแสดงสินค้าอาวุธของอินเดียในแต่ละปีจึงได้รับความสนใจจากบริษัทผู้ผลิตทั้งภายในและต่างประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงเป็นประเทศที่ซื้อและนำเข้าอาวุธมีมูลค่าอันดับหนึ่งของโลก จึงต้องตั้งเป้าลดการพึ่งพาและพัฒนาคุณภาพยุทโธปกรณ์ที่ผลิตภายใน อีกทั้งปัญหาความไม่โปร่งใสจากการซื้ออาวุธเป็นที่จับตามอง โดยมีข้อกล่าวหาอยู่เนืองๆ ทำให้รัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองมือสะอาดได้พยายามทำให้โปร่งใสขึ้น

เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีกลาโหมไทย ได้รับเชิญจากนายเอ.เค.แอนโทนี รัฐมนตรีกลาโหมอินเดียให้เยือนอินเดีย นานมาแล้วที่อินเดียจะเชิญรัฐมนตรีกลาโหมไทยไปเยือนอย่างเป็นทางการ และการเชิญครั้งนี้ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ฝ่ายอินเดียต้องการแสดงเจตจำนงกระชับความสัมพันธ์ด้านการทหารและความมั่นคงกับไทย

(http://www.marinerthai.com/pic-news3/2013-01-17_006.jpg)

การต้อนรับเป็นไปอย่างอบอุ่น นอกจากการตรวจแถวทหารก่อนการหารืออย่างเป็นทางการ ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงจะมีการฝึกผสมร่วมกันมากขึ้น โดยเฉพาะระหว่างกองทัพอากาศ ในค่ำวันเดียวกัน รัฐมนตรีกลาโหมอินเดียเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฝ่ายไทยอย่างเป็นทางการ โดยจัดผู้บัญชาการทหารอากาศซึ่งดำรงตำแหน่งประธานของสามเหล่าทัพ ตลอดจน ผบ.ทร.และ ผบ.กองกำลังยามฝั่งเข้าร่วมเป็นเกียรติ ผมนั่งร่วมโต๊ะด้วย ก็อดภูมิใจไม่ได้ในมิตรภาพและไมตรีจิตที่ขึ้นสูงสุดระหว่างอินเดียกับไทยในปีที่เพิ่งผ่านมา

วันรุ่งขึ้น แทนที่พล.อ.อ.สุกำพล จะเลือกทัศนศึกษาสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของอินเดีย ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนของประเทศ กองทัพอากาศอินเดียก็พร้อมจะจัดเครื่องบินพาไป รัฐมนตรีกลาโหมไทยกลับเลือกขอไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินของ HAL ที่เมืองบังคาลอร์แทน บริษัทนี้มีความร่วมมือกับรัสเซีย อิสราเอล สหรัฐฯ และฝรั่งเศส มีรายได้ประมาณสองพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี

รัฐมนตรีกลาโหมอินเดียได้ตอบรับคำเชิญรัฐมนตรีกลาโหมไทยที่จะมาเยือนไทยตอบแทนอย่างเป็นทางการแล้วในต้นปีนี้ ก้าวย่างเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับอินเดียนี้ของ พล.อ.อ.สุกำพลฯ อาจจะไม่เป็นข่าวในไทย แต่ย่อมไม่คลาดสายตานักวิเคราะห์และผู้ติดตามการพัฒนาบทบาทด้านการทหารและความมั่นคงของอินเดียและไทยในภูมิภาค นับเป็นก้าวจังหวะที่ถูกกาลเวลาและยุทธศาสตร์อีกก้าวหนึ่ง

ที่มา - (http://www.marinerthai.net/pic-news3/krungthep.jpg) (http://www.bangkokbiznews.com/)